วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ขอบคุณ


เมื่ออะไรที่เราผ่านมันมาได้ทุกอย่าง
มันก็จะกลายเป็นอดีต “ความทรงจำ “แม้จะแลกด้วยน้ำตา
ก็ดีกว่า...ชีวิตไม่เคยเจอะเจออะไรให้จดจำเลย
ให้ความเจ็บช้ำเป็นแรงผลักดันให้เราพัฒนาตนเอง
ต้องเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น
สักวันเราจะพบกับรอยยิ้ม แล้วพูดว่า
“ ขอบคุณ...ที่ทิ้งกัน ”
ขอบคุณ...ที่ทำให้มีวันนี้

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

คาถาดีๆๆๆ

1. คาถาคนทำงาน


ขั้น แรก...ท่อง นะโม 3 จบ ก่อน แล้วจึงค่อยท่องคาถานะ

อาจจะมี ... เซ็งไปบ้าง...ในบางครั้ง

อาจ จะมี ...เบื่อกันบ้าง.... ในบางหน

อาจ จะมี ...เหม็นขี้หน้า...กับบางคน <====== อัน นี้ โดน

พยายามทน ทำงานไป เพราะได้ตังค์ <====== อันนี้โดนก่า



2. คาถา ปล่อยวาง

กูว่าแล้วในโลกนี้มีปัญหา

เขา ไม่ด่า ก็ชื่นชม หรือเฉยๆ

สาม ประเภทที่ว่านี้มิเปลี่ยนเลย

จง วางเฉยใครถือสาเป็นบ้าตาย



3. คำสอนของพระพุทธเจ้า

อย่า ไปนึกว่า ' คนอื่น ' เหนือ กว่า เรา เพราะทำให้เกิดปมด้อย

อย่า ไปนึกว่า ' คนอื่น ' ต่ำ กว่า เรา เพราะทำให้เกิดทิฐิ

อย่า ไปนึกว่า ' คนอื่น ' เสมอ เท่า เรา เพราะทำให้เกิดการแข่งขัน ชิงดีชิงเด่น

จงนึกเสมอว่า ' คน อื่นทุกคน ' เป็นเพื่อนรวมทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด









การบรรยายธรรมะโดย ท่าน ว.วชิรเมธี ท่านได้ให้พร 4 ข้อ ดังนี้

> 1. อย่า เป็นนักจับผิด

คนที่คอยจับผิดคนอื่น แสดงว่า หลงตัวเองว่าเป็นคนดีกว่าคนอื่น ไม่เห็นข้อบกพร่องของตนเอง ' กิเลส ฟูท่วมหัว ยังไม่รู้จักตัวอีก ' คนที่ชอบจับผิด จิตใจจะหม่นหมอง ไม่มีโอกาส ' จิตประภัสสร ' ฉะนั้น จงมองคน มองโลกในแง่ดี ' แม้ในสิ่งที่เป็นทุกข์ ถ้ามองเป็น ก็เป็นสุข '



> 2. อย่า มัวแต่คิดริษยา

' แข่งกันดี ไม่ดีสักคน ผลัดกันดี ได้ดีทุกคน '

คนเราต้องมี พรหมวิหาร 4 คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

คน ที่เราริษยาเป็นการส่วนตัว มีชื่อว่า ' เจ้ากรรมนายเวร ' ถ้าเขาสุข เราจะทุกข์ ฉะนั้น เราต้องถอดถอน

ความริษยาออกจากใจเรา เพราะไฟริษยา เป็น ' ไฟ สุมขอน ' ( ไฟเย็น) เราริษยา 1 คน เราก็มีทุกข์ 1 ก้อน

เราสามารถถอดถอนความริษยาออกจากใจเราโดยใช้วิธี ' แผ่เมตตา ' หรือ ซื้อโคมลอยมา แล้วเขียนชื่อคนที่เราริษยา แล้วปล ่อยให้ลอยไป





> 3. อย่าเสียเวลากับความหลัง

90% ของคนที่ทุกข์ เกิดจากการย้ำคิดย้ำทำ ' ปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น '

มนุษย์ที่สลัดความหลังไม่ออก เหมือนมนุษย์ที่เดินขึ้นเขาพร้อมแบกเครื่องภาระต่างๆ ไว้ที่หลังขึ้นไปด้วย

ความทุกข์ที่เกิดขึ้นแล้ว จงปล่อยมันซะ ' อย่า ปล่อยให้คมมีดแห่งอดีต มากรีดปัจจุบัน '

' อยู่กับปัจจุบันให้เป็น ' ให้กายอยู่กับจิต จิตอยู่กับกาย คือมี ' สติ ' กำกับตลอดเวลา





> 4. อย่าพังเพราะไม่รู้จักพอ

' ตัณหา ' ที่ มีปัญหา คือ ความโลภ ความ อยากที่เกินพอดี เหมือนทะเลไม่เคยอิ่มด้วยน้ำ ไฟไม่เคยอิ่มด้วยเชื้อ ธรรมชาติ ของตัณหา คือ ' ยิ่งเติมยิ่งไม่เต็ม '

ทุกอย่างต้องดู ' คุณค่าที่แท้จริง ' ไม่ใช่ คุณค่าเทียม เช่น คุณค่าที่แท้ของนาฬิกาคืออะไร ? คือไว้ดูเวลาไม่ใช่ใส่เพื่อความโก้หรู

คุณค่าที่แท้ของโทรศัพท์มือถือคืออะไร ? คือไว้สื่อสาร แต่องค์ประกอบอื่นๆ ที่เสริมมาไม่ใช่คุณค่าที่แท้จริงของโทรศัพท์

เราต้องถามตัวเองว่า ' เิกิด มาทำไม ' คุณค่าที่แท้จริงของการ เกิดมาเป็นมนุษย์อยู่ตรงไหน ตามหา ' แก่น ' ของชีวิตให้เจอ

คำว่า ' พอดี ' คือ ถ้า ' พอ ' แล้วจะ ' ดี ' รู้จัก ' พอ ' จะมีชีวิตอย่างมีความสุข '

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ไม้ขีดไฟกะดอกทานตะวัน











ทำวันนี้ให้มีคุณค่า และมีความสุข



ชีวิตคนเราไม่แน่นอน ดังนั้นต้องทำทุกวันให้มีคุณค่า ต้อง “ เข้มแข็ง ” กล้าที่จะเผชิญกับปัญหาที่เข้ามา ทุกคนเจอปัญหากันทั้งนั้นแต่จะผ่านได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับการแก้ปัญหาของแต่ละคน ควรเดินทางสายกลาง อย่าตึงหรือหย่อนเกินไปถ้าเราทำได้ชีวิตก็จะมีความสุข




“ อยู่กับความเป็นจริงตามธรรมชาติ - สร้างพลังและกำลังใจให้กับตนเอง


- รู้จักพอ รู้จักให้ - มีสติ พัฒนา ปัญญา
 -          การจะมีความสุขได้เราต้องรู้จักยอมรับและพอใจในสิ่งที่ตนเองมี  สิ่งที่ตนเองเป็น  ถ้าเรามัวแต่อยากได้โน้น  อยากเป็นอย่างนี้  ก็จะทำให้เราคิดมาก  บางทีอาจเกิดความอิจฉาขึ้นภายในตัว  สิ่งเหล่านี้ล้วนแต่จะทำให้ชีวิตเราเป็นทุกข์ทั้งนั้น

         ถ้าเมื่อใดที่เกิดความทุกข์  เราท้อแท้  เราร้องไห้ได้แต่ห้ามหมดกำลังใจ  ต้องสร้างพลังให้กับตัวเอง  เห็นคุณค่าในตัวเองเพื่อที่จะสู้กับความทุกข์และปัญหานั้นให้ได้    เมื่อเรามีพลังและกำลังใจแล้วไม่ว่าปัญหาใดๆที่เข้ามาเราก็จะสามารถผ่านมันไปได้


-          เมื่อเรามีความสุขแล้ว  เราก็ต้องรู้จักแบ่งปันความสุขให้กับผู้อื่นด้วย  รู้จักพอ  รู้จักให้  การที่เราได้ช่วยผู้อื่นยิ่งจะทำให้จิตใจของเรานั้นสดใส  และจะเกิดความภูมิใจที่เราใช่ชีวิตที่มีอยู่อย่างมีคุณค่า

เราต้องรู้จักสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ  พัฒนาความคิด  พัฒนาปัญญา  ให้มองโลกในมุมกว้าง  มองโลกในแง่บวก  โดยสิ่งเหล่านี้เราต้องทำด้วยความมีสติ  จึงจะเกิดผลดีต่อตัวเราเอง

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

รู้สึกว่าปวดหมองไงๆๆ ก็มะรู้

วันนี้เป็นไร
 มึนหัว ตึบๆ
บอกไม่ถูก ง่วงอะ
กินยาแยะไปง่วง
คิดถึงหมอนที่บ้าน
อยากกับบ้าน แงๆๆ 

ลมจับ

เหนื่อยๆ  เครียดๆ   ง่วงๆ
ไม่น่าผสมพันธุ์หมูไว้เรย
โดนขโมยไปหลายตัว
ใจสั่นใจหวิว  ลมแทบจับ  555
ไม่ได้บ้านะ แต่มันเป็นของเรา
แล้วโดนขโมยไปต่อหน้าต่อตา  เฮ้ออ 
มันเสียดาย   แงๆๆๆ
ใจร้ายกันจริงๆ ๆ

เวลาที่หมดไป

วันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ความหวัง

ความหวัง


เพียงแต่ขานชื่อมัน

"ความหวัง"...ดอกไม้สีขาว

พืชพันธุ์แห่งความเปล่าเปลี่ยว

ผลิบาล ท้าทายความทุกข์ยาก



ถ้าเธอเป็นเจ้าของ

เพียงแต่หว่านไปทั่วทั้งเมือง

ผู้คนที่เดินสวนไปมา

จะหยุดตะลึง และพากันยื้นแย่ง



ถ้าเธอทำมันหล่นไปบนท้องถนน

คนกวาดขยะ จะรีบเก็บกวาดมันไป

เป็นสมบัติส่วนตัว

ถ้าเธอทำมันหล่นตามซอกมุมตึก

ในตอนกลางคืน

พอรุ่งเช้า พวกคนโซจรจัดจะฉวยคว้า

นำมันไปประทังชีวิต



เราจะพูดเรื่องนี้กับใคร

ทุกหนแห่ง

ผู้คนต่างรอคอย

เผื่อว่ามันจะปรากฏบนหน้าหนังสือพิมพ์

ในวิทยุ โทรทัศน์ และจอภาพยนตร์

เผื่อว่ามันจะกลายเป็นความจริง

เกิดขึ้นหน้าสำนักบริการหางานบนท้องถนน

เกิดขึ้นแก่ผู้คนที่เดินก้มหน้า

และเหล่ากรรมกรที่มือกำหมัดแน่น



เมื่อความหวังเปลือยตัวมันเองออกมา

ผู้คนพากันส่งเสียงโห่ร้องอื้ออึง



"ความหวัง"

ทิ้งมันไว้ในสลัม

ให้เป็นเสื้อผ้าอาหารของเด็กยากจน

ทิ้งมันไว้ในโรงเด็กอนาถา

ให้เป็นความอบอุ่นแก่เหล่ากำพร้า

มอบไว้กับชนบท

ให้เป็นของเล่นแก่เด็กในท้องนา

แต่...

อย่าฝากความหวัง

ไว้กับนักโกหกหรือคนบ้าคลั่ง

เขาจะทำมันแตกหัก




เพียงแต่ขานชื่อมัน

"ความหวัง"... ดอกไม้สีขาว

พืชพันธุ์แห่งความเปล่าเปลี่ยว

ผลิบาน ท้าทายความทุกข์ยาก







"ความหวัง"

ใครจะสร้างมันขึ้นมาเป็นอะไรอื่นก็ได้

มอบให้กับเหล่าผู้คน

ที่...แร้นแค้น และกระหาย

วันอังคารที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ชีวิตและความตาย

ธรรมดาของสิ่งทั้งหลาย เกิดขึ้น ดำรงอยู่ชั่วคราว

แล้วดับไป ความดับไป ความแตกสลายของรูปแห่งสิ่งมีชีวิตนั่นเอง

เรียกในภาษาสามัญว่า “ตาย”

ในขณะที่ดำรงอยู่ ก็อยู่ด้วยความยุ่งยากลำบากนานาประการ

ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด เพื่อประคองชีวิตไว้

ทั้งมนุษย์ พืช และสัตว์ ต้องมีภาระหนัก

ในการประคับประคองรักษาชีวิตทั้งสิ้น



กล่าวเฉพาะมนุษย์และสัตว์เดรัจฉานก่อน

ความเดือดร้อนของชีวิต เริ่มต้นตั้งแต่วาระแรกที่คลอดจากครรภ์ของแม่

มาสู่ภพใหม่ เรียกได้ว่า เริ่มก้าวเข้าสู่ยุคแห่งทุกข์ต่างๆ

ตั้งแต่การเสี่ยงอันตรายในการคลอด

เมื่อคลอดแล้วก็ต้องเผชิญหน้ากับความทุกข์ใหม่ๆ

ที่ตนไม่เคยประสบ หรือมิฉะนั้นก็ความทุกข์ซ้ำซากไปตลอดชีวิต

ความตายเป็นทางออกจากทุกข์ชั่วระยะหนึ่ง

หรืออาจเปลี่ยนจากทุกข์อย่างหนึ่ง

ไปสู่ทุกข์อื่นที่แปลกและใหม่อีกอย่างหนึ่ง

ในรายที่คลอดยากทั้งเด็กและมารดา ได้รับความทุกข์ทรมานเหลือเกิน

ตายเสียขณะคลอดก็มี ตายเสียในครรภ์ก็มี

ออกจากครรภ์พร้อมด้วยความพิการ

และมีชีวิตอยู่อย่างทุกข์ทรมานไปตลอดจนตายก็มี



โดย หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม





อยู่อย่างไรกับ...ความเครียด

อยู่อย่างไรกับ…ความเครียด (จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี)


โดย ผศ.จักรกฤษณ์ สุขยิ่ง

คำถามที่มักจะถูกถามอยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นจากผู้ป่วยเอง ญาติผู้ป่วยหรือแม้แต่คนที่รู้จักกันก็ตาม คือทำอย่างไรดีถึงจะหายเครียด หรือทำอย่างไรที่จะไม่ให้คิดมาก บางคนที่ถามก็อาจมีเรื่องราวเดือดร้อนใจหรือกลุ้มใจอยู่ก่อนแล้ว แต่บางคนก็ถามเพื่อเป็นข้อมูลที่เก็บเอาไว้ประดับความรู้ เพราะฉะนั้นคำตอบก็ย่อมแตกต่างกันไป

แน่นอนที่คำตอบนั้นคงจะต้องขึ้นกับเรื่องราวของแต่ละคนว่าเรื่องของความ กลุ้มใจนั้นเป็นอย่างไร ทำนองว่าเรื่องของใครก็เป็นเรื่องของคน ๆ นั้น แต่อย่างไรก็ตามก็พอมีหลักบางอย่างอยู่บ้าง ที่พอจะช่วยให้เราเตรียมตัวหรือรับมือกับความเครียดหรือเรื่องกลุ้มใจได้ดี ขึ้น

ก่อนที่จะพูดถึงแนวทางต่าง ๆ นั้น คงต้องขอบอกข้อมูลบางอย่าง เพื่อจะได้เป็นที่เข้าใจ ให้ตรงกันเสียก่อนเกี่ยวกับเรื่องความเครียดก็คือ อย่าง แรกความเครียดจะเกิดขึ้นกับคนเราได้อยู่เรื่อยๆ ไม่ว่าจะสุขหรือทุกข์ ที่รู้สึกกันได้บ่อยก็คือ เรื่องที่ทำให้ทุกข์แต่จริงๆแล้วเรื่องที่ดูเหมือนจะทำให้มีความสุขนั้นก็จะ ทำให้เครียดได้เหมือนกัน

ไม่ว่าจะเป็นการถูกล๊อตเตอรี่รางวัลที่หนึ่ง การสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ หรือแม้แต่การพักผ่อนหยุดงานเป็นระยะเวลานานๆเป็นต้น อีกเรื่องหนึ่งคือหลายคนมักจะพูดเชิงถาม ว่าทำอย่างไรดีถึงจะไม่ให้คิดหรือลืมเรื่องนั้น ๆ ไปได้ เพราะคิดถึงทีไรก็ไม่สบายใจทีนั้น ความจริงแล้ว คงลำบากที่จะทำแบบนั้นเพราะสมองคนเราไม่เหมือนเทป ที่จะสามารถลบข้อความหรือภาพบางอย่างที่เราไม่ต้องการได้ อย่างไรความทรงจำก็จะต้องมีอยู่ และเราก็ต้องมีชีวิตอยู่กับความทรงจำนั้นให้ได้ครับ เราจะต้องมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ให้ได้ คงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเอาเสียเลย ถ้าต้องมีชีวิตอยู่ไปแล้วก็ต้องขมขื่นไป เราคงต้องปรับตัวหรือเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวของเรา เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุข ไม่ฟุ้งซ่าน


แนวทางต่าง ๆ ต่อไปนี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่จะช่วยประคับประคองให้เราอยู่ได้ท่ามกลางความเครียด ความสับสน ในสิ่งแวดล้อมรอบตัวเราก็เป็นเรื่องที่หลาย ๆ ท่านก็คงรู้อยู่ เพียงแต่จะพยายามรวบรวมให้เป็นหมวดหมู่เรื่องเดียวกันให้มากขึ้นเท่านั้น ลองพิจารณาดูนะครับ

ตั้งสติกับตัวเองให้ได้ เวลาที่คนเราเกิดความเครียด หลายคนมักจะตั้งตัวไม่ทันปล่อยใจไปกับสิ่งเหล่านั้น คิดไปกับสิ่งเหล่านั้น ผลที่เกิดขึ้นก็คือในสมองจะมีแต่ความวิตกกังวล บางคนเป็นมากจนถึงกับดึงความคิดของตัวเองกลับมาไม่ได้ จมอยู่กับความเครียดนั้น ไม่มีสมาธิที่จะทำอะไร อันนี้คงต้องรีบบอกรีบเตือนตัวเอง ตั้งหลักตั้งใจกันใหม่ ค่อย ๆ คิดค่อย ๆ พิจารณา พยายามอย่าให้อารมณ์พาใจไปให้มากนักการค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ตั้งสติกับตัวเองนั้น จะเป็นการค่อย ๆ เริ่มเรียนรู้จักปัญหา ที่มาของปัญหา และแนวทางที่เราจะใช้แก้ปัญหาได้ดีขึ้น ค่อย ๆ พิจารณาดูว่าข้อดี ข้อเสียที่เรากำลังจะตัดสินใจทำลงไปนั้น มีอะไรบ้าง เรารับได้หรือไม่กับผลเสียที่จะตามมา ทำไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจึงค่อย ๆ ทำลงไป อย่าปล่อยให้อารมณ์พาไปครับ

อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด หลายครั้งที่ความเครียดเกิดจากความวิตกกังวลว่าอนาคต หรือวันต่อไปจะเป็นอย่างไร คิดว่าเรื่องแย่ ๆ หรือไม่ดีคงต้องเกิดขึ้น แล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริงก็คงจะต้องเกิดอย่างนี้และอย่างนี้ขึ้นตามมาอีก ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน สงบสติและอารมณ์ของตนเองไม่ได้ นอนไม่หลับ ต้องรอจนเหตุการณ์มันผ่านไปเสียก่อน จึงค่อยสงบอารมณ์ลงได้ แต่ก็อีกไม่นานก็จะมีเรื่องใหม่ให้คิดตามมา เป็นอย่างนี้ไปเรื่อย ๆ ดูช่างเป็นชีวิตที่น่าเหนื่อยมาก

แต่ถ้าลองทบทวนเหตุการณ์ที่เคยคิดมาก ๆ ที่ผ่านไปแล้วก็มักจะพบว่าสิ่งที่เคยคิด สิ่งที่เคยกังวลมักจะไม่ค่อยตรงกับเรื่องจริงๆที่เกิดขึ้นสักเท่าไหร่ หรือถ้าตรงเราก็สามารถที่จะมีชีวิตยืนหยัดอยู่ได้จนถึงวันนี้ (เพื่อที่จะได้ไม่มาคิดมากต่อไปอีกในวันข้างหน้า) เพราะฉะนั้นอย่าเปลืองพลังงานสมองให้กับเรื่องเหล่านี้เลย อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไป อนาคตจะเป็นอย่างไรก็คงต้องปล่อยมันบ้าง รอไว้ให้มันเกิดขึ้นจริง ๆ ก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ทำวันนี้ ตอนนี้ให้ดีที่สุด อยู่กับปัจจุบัน กับตัวเราให้มากที่สุดดีกว่าครับ

อะไรที่ผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไปเสียบ้าง มีหลายคนที่หมกมุ่นอยู่แต่กับอดีต กับเรื่องราวที่เกิดขึ้นไปแล้ว คิด คิด คิด ราวกับว่าอยากจะเข้าไปลบอดีต แล้วเปลี่ยนมันเสียใหม่ อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ ไม่อยากจะให้เกิดแบบนั้น คิดไปคิดมาจนไม่มีสมาธิในการทำงาน บางคนใจลอยหลงๆลืมๆ อดีตเป็นเรื่องที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปหามันได้ ใช้มันให้เป็นบทเรียนที่มีค่าจะดีกว่า

หรือถ้าให้ดีก็เสียเวลาอีกหน่อย เพื่อมาคิดว่าพราะอะไรในตอนนั้น เราถึงตัดสินใจทำแบบนั้นลงไป ทำไปเพื่ออะไร แล้วผลตอบแทนที่ได้มันคุ้มกันหรือไม่ ถ้าไม่คุ้มก็คงต้องเตือนตัวเองไว้ว่าครั้งต่อไปจะตัดสินใจอย่างไร เข้าทำนองที่ว่าเจ็บแล้วก็ต้องจำเสียบ้าง

ยืดหยุ่นกับชีวิตตนเองให้มากขึ้น คนเราจะมีความคาดหวังได้บ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่สำหรับบางคนให้ให้ความสำคัญกับความคาดหวังนั้นมากเป็นพิเศษ ชีวิตของฉันจะต้องเป็นอย่างนั้นครอบครัวของฉันจะต้องเป็นอย่างนี้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็จะต้องเป็นอย่างนี้ อะไรทำนองนี้ เป็นต้น ความคาดหวังเป็นสิ่งที่ทำให้เรากระตือรือร้น มีกำลังใจที่จะทำสิ่งต่าง ๆ ได้ แต่การยึดติดอยู่กับความคาดหวังมากเกินไป จะเป็นตัวบั่นทอนสุขภาพจิตเราได้ง่าย ๆ ชีวิตทุกคนก็มีสมหวัง ผิดหวังกันได้ สลับกันไป มีได้อย่างหนึ่งก็มักจะต้องเสียอย่างหนึ่ง จะให้ได้ทั้งหมดโดยไม่มีเสียเลยคงจะลำบาก เผื่อใจไว้บ้างกับความ ผิดหวัง ลองคิดดูให้ดีสิครับ ความผิดหวังคงไม่ทำให้ถึงกับชีวิตจะดำเนินต่อไปไม่ได้หรอก เพียงแต่อาจจะรู้สึกแย่ หรือเสียความรู้สึกบ้างเท่านั้นเอง

ลดคำถามที่ขึ้นต้นกับตนเองว่า “ทำไม” ให้น้อยลงบ้าง ทำไมเขาถึงทำกับเราแบบนี้ ทั้งๆที่เราก็ทำดีให้กับเขาทุกอย่างแล้ว ทำไมถึงต้องเป็นเราทำไม ต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อะไรทำนองนี้เพราะส่วนใหญ่ยิ่งถามก็จะยิ่งไม่มีคำตอบ แล้วก็จะวกวนอยู่กับคำถามเหล่านี้ เหนื่อยเปล่าๆครับคล้ายๆกับว่าเรากำลังถามว่าทำไมพระอาทิตย์ต้องขึ้นทางทิศ ตะวันออก แล้วตกทางทิศตะวันตก มันเป็นคำถาม ที่ไม่รู้จะตอบอย่างไร ทางที่ดีอาจจะลองหยุดคำถามเหล่านี้ แล้วลองถามกับตัวเองว่าแล้วทำไมสิ่งต่าง ๆ จะต้องเป็นแบบที่เราต้องการด้วย อาจจะดีกว่า อาจทำให้เข้าใจความต้องการของตัวเองได้มากขึ้น

มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้น บางคนค่อนข้างกลัวในเรื่องเล็กๆน้อยๆไม่ค่อยกล้าทำอะไร กลัวว่าทำไปแล้วจะไม่ดี จะไม่เป็นที่ถูกใจของคนอื่น หรือถ้าไม่ทำแล้วคนอื่นจะไม่สบายใจ แต่ถ้าทำไปก็จะฝืนความรู้สึกของตัวเอง บางคนกังวลว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร ถ้าเราทำแบบนี้จนในที่สุดไม่กล้าที่จะทำใน สิ่งที่อยากจะทำแล้วต้องมานั่งอยู่กับความเครียดของตัวเอง มั่นใจในตัวเองให้มากขึ้นเถอะครับ

ลดความรู้สึกอ่อนไหวต่อคนรอบข้างให้น้อยลง แล้วทำในสิ่งที่อยากจะทำลงไปบ้าง ถ้าสิ่งนั้นไม่ได้ก่อความเสียหายให้กับตัวเองหรือสังคมรอบข้าง จริง ๆ แล้วถ้าคิดกันให้ดี ๆ ว่าที่เรานั้นคอยกลัวอยู่เรื่อยว่าคนโน้นจะว่า อย่างนี้ คนนั้นจะว่าอย่างไรนั้น มันก็คือความกลัวต่อความคิดของเราเองทั้งสิ้น คิดเองแล้วก็กลัวเองอยู่ คนเดียว เอาชนะใจตัวเองให้ได้ครับ แล้วหลาย ๆ อย่างจะดีขึ้นตามมา


อีกเรื่องหนึ่ง ที่คิดว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าที่กล่าวไปข้างต้น ก็คือ การดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ จิตใจที่แจ่มใส พร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ นั้น มักจะอยู่คู่กับร่างกายที่สมบูรณ์ เป็นเสมือนภูมิต้านทานให้แก่กันและกัน การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ การพักผ่อนให้เต็มที่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงสิ่งต่า งๆ ที่จะมีผลเสียหรือเป็นโทษต่อร่างกายเหล่านี้จะช่วยให้สุขภาพสมบูรณ์ เป็นหลักที่มั่นคงสำหรับจิตใจ เพื่อที่จะเผชิญกับความเครียดในวันต่อไปข้างหน้าได้ครับ


ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น ก็หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อยสำหรับทุกๆท่าน ความจริงแล้วยังมีอีกหลายแนวทาง ที่จะทำให้สุขภาพจิตนั้นดีขึ้นบางอย่างก็จะเหมาะกับคนบางคน บางคนก็รู้ดีอยู่ว่าอะไรคืออะไร แต่หักห้ามใจไม่ให้คิดไม่ได้ครับ ของอย่างนี้คงต้องใช้เวลากันบ้างในการ ที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเอง ขอให้ลองพยายามกันต่อไปครับเพื่อความสุขในชีวิตของเรา

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : จิตเวชศาสตร์ รามาธิบดี

ummmm

รู้ว่าเหนื่อยนะ กับตอนนี้
แต่เราต้องสู้ ต้องผ่านไปให้ได้
สู้ต่อไป สู้ต่อไป
ไม่อยากเสียน้ำตาอีกนะ
แต่เราก็ต้องทำให้สุดความสามารถ 
แม้ผลออกมาจะไม่เป็นตามหวัง ก็ต้องสู้

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ก่ายขนาด

อยุ่บ้านก็โคตรน่าเบื่อ
อยากไปเที่ยวไหนสักที่
อยากไปไหนก็ยังไม่รู้
รู้แต่ว่าอยากไป
ทำไมมันโคตรน่าเบื่ออย่างนี้
เซ็งงงงงงงงงง โคตรๆๆ

วันอังคารที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

โทรมเรยเรา

ช่วงนี้ไม่ค่อยได้ดูแลตัวเองเร้ย
ไรต่อไรก็มะรู้ วุ่น ๆ  ไปหมด
อ่านหนังสือก็ได้นิดเดียว
ท่าจะ....... ยังไม่อยากจะคิด
เมื่อคืนก็อ่านไปได้สองแผ่นมั้ง
นอนตั้งแต่สองทุ่มละ ตื่นมาอีกทีเที่ยงคืนเป๊ะๆๆ
ก็อ่านๆ  ไป  ไรเนี่ย เสียงไรก็มะรู้
กุ๊ก ๆ  กั๊ก ๆ  ออกไปดูก็มะเห็นมีไร
ไม่ไหวแล้ว นอนดีกว่า
สรุป เปิดไฟนอนตั้งแต่เที่ยงยันเจ็ดโมง  555
มะได้กัวนะ สงสัยพี่เก๋จามาแอ่วหา

หน้าตางี้น่าเกียจอะ ดูไม่ค่อยได้  โทรมๆ  ไงก็มะรู้
แย่แร้วเรา  มะได้ละ ต้องบำรุงกันหน่อย เฮ้อออ
ท่าจะกู้ไม่ไหวแล้วมั้ง เริ่มแก่ละ  หุหุ