วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

กำลังใจมีให้เต็มร้อย

ตั้งแต่ 23 มกราคม 55 เป็นวันที่ไม่อยากได้ยินคำๆ นี้
แม่ป่วยเป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาว
โอพระเจ้า  พวกเราตั้งตัวไม่ทัน  ทำใจไม่ได้
แต่หาหมอตอนเช้า บ่ายให้เข้านอนในโรงบาล
24  หมอให้เริ่มทำคีโมอย่างด่วน
เพราะถ้าไม่ทำ เม็ดเลือดขาวในตัวแม่จะสร้างเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สงสารแม่มาก  แม่ปวดเมื่อยทั้งตัว
เจ็บแขนทั้งสองข้างเพราะหมอเจาะหาเส้นเลือดแล้วฝังเข็มไปหลายแผล
แม่ต้องฝังเข็มไว้กับมือทั้งสองข้างเลย  ข้างหนึ่งเติมน้ำเกลือกะน้ำยาเคมีบำบัด
อีกข้างแม่ต้องฉีดยาทุก 12 ชั่วโมง เห็นแล้วแทบจะกั้นร้องไห้ไม่ไหว
แม่คงจะเจ็บมาก แต่แม่ก็ต้องทนเพื่อจะได้หาย
เข็มกะขวัญเป็นกำลังใจให้แม่เสมอนะ
พ่อก็ดูแม่ไม่ห่างสายตาเลย
พ่อบอกว่าจะเลิกทำสวนแล้ว   ถ้าแม่ออกจากโรงบาลก็จะให้พักผ่อนอยู่บ้านเฉยๆๆ
แม่จะได้หายไวๆๆ  งานสวนที่ค้างๆ  ไว้ เหลืออีกไม่มากละ  พ่อทำเองได้ เดียวพ่อทองจะมาช่วย
ถ้าเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังกะใบยาเสร็จ  ก็จะไม่ทำละ
พ่อจะทำแต่นาอย่างเดียว แม่จะได้ไม่เหนื่อย
ขอเพียงอย่างเดียวนะแม่
แม่ต้องสู้  ต้องเข้มแข็ง  แม่ห้ามท้อเด็ดขาด
เราทั้งสามคนเอาใจช่วยเป็นกำลังใจให้แม่เสมอ
รับรองแม่ต้องหาย
สมัยนี้หมอเก่งอุปกรณ์การแพทย์ก็ทันสมัย
คนอื่นๆที่เค้าเป็นกันก็หายแยะไป
สรุปแม่ต้องเข้มแข็งห้ามท้อเด็ดขาด
แม่ต้องสู้นะ  รักแม่ที่สุดในโลก
เราจะไม่ทิ้งแม่ จะดูแลแม่อย่างใกล้ชิดตลอดไป
ขอเพียงแค่อย่างเดียวเท่านั้น
แม่ต้องสู้  สู้เพื่อตัวเอง สู้เพื่อพวกเรานะแม่
รักแม่  ขอให้แม่หายไวๆ  นะ

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

เซ็งวะ

เบื่อที่สุดในโลก
เบื่อ หน่าย ก่าย เซ็ง

ถึงเวลาฟัง


ลูคีเมียคืออะไร

มะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือที่มักเรียกกันว่า ลิวคีเมีย แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ คือชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง แต่ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน ซึ่งเป็นชนิดที่พบมากที่สุด 

มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เป็นโรคมะเร็งทางโลหิตวิทยา ที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ต้นกำเนิดเม็ดเลือดในไขกระดูก ทำให้มีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนของเซลล์ตัวอ่อนของเม็ดโลหิตขาวเพิ่มขึ้นอย่างมาก แต่เซลล์เหล่านั้นไม่สามารถเจริญเป็นตัวแก่ได้ตามปกติ 

เซลล์ตัวอ่อนของเม็ดโลหิตขาวในไขกระดูกจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เซลล์มะเร็งเหล่านี้ จะแทนที่และยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์ซึ่งสร้างเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาวและเกร็ดเลือด จนเกิดอาการ

และอาการแสดงในผู้ป่วยในระยะเวลาอันสั้น เช่น มีอาการซีด อ่อนเพลีย มีเลือดออกผิดปกติ หรือจุดเลือดออก ีเนื่องจากเกร็ดเลือดต่ำ ติดเชื้อง่ายมีไข้สูง นอกจากนี้ยังอาจเกิดอาการผิดปกติจากการที่เซลล์มะเร็งแทรกตัวเข้าไปในเนื้อเยื่ออื่นๆ อีกด้วย เช่นต่อมน้ำเหลือง ตับ ม้าม ผิวหนัง หรือเยื่อหุ้มสมอง เป็นต้น 

มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน เป็นโรคที่มีพยาธิกำเนิดในระดับเซลล์หลายรูปแบบทำให้แบ่งเป็นชนิดย่อยได้หลายชนิด แต่ละชนิดมีการดำเนินโรคและพยากรณ์โรคที่แตกต่างกัน ส่งผลให้การพิจารณาเลือกการรักษาต้องคำนึงถึงชนิดย่อยของโรคด้วย การแยกชนิดย่อยทำได้หลายระบบทั้งการจัดแบ่งตามลักษณะรูปร่างของเซลล์ จัดแบ่งกลุ่มตามความผิดปกติของโครโมโซม และความผิดปกติระดับยีน 

  การวินิจฉัยโรค
การวินิจฉัยมะเร็งเม็ดโลหิตขาวชนิดเฉียบพลัน อาศัยการตรวจเลือด และการตรวจไขกระดูกเป็นหลัก ผู้ป่วยมักมีประวัติการเกิดโรคค่อนข้างเร็ว อาการและอาการแสดงที่ปรากฏ มักเกี่ยวเนื่องกับภาวะไขกระดูกล้มเหลว และเซลล์มะเร็งที่แทรกเข้าไปในเนื้อเยื่อต่างๆ รบกวนการทำงานตามปกติของอวัยวะนั้นๆ ร่วมกับความผิดปกติที่เกิดจากการมีเซลล์มะเร็งจำนวนมากในร่างกาย 

  อาการและอาการแสดงที่พบบ่อยได้แก่
ไข้ ซีด เลือดออกผิดปกติ ต่อมน้ำเหลืองโต ตับโต ม้ามโต น้ำหนักลด ผู้ป่วยบางรายอาจมาพบแพทย์ด้วยผื่นหรือปื้นที่ผิวหนัง อัณฑะบวมโต หรือ ปวดกระดูก ปวดข้อ ก็ได้ นอกจากนั้นยังพบว่าผู้ป่วยมะเร็งเม็ดโลหิตขาวชนิดเฉียบพลันบางรายอาจมีอาการผิดปกติทางระบบประสาท โดยอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนพุ่ง เนื่องจากมีเซลล์มะเร็ง แทรกตัวในเยื่อหุ้มสมองทำให้ความดันในกะโหลกศีรษะเพิ่มขึ้นได้ 

ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักตรวจพบเม็ดเลือดขาวชนิดตัวอ่อนสูงเป็นจำนวนมากในกระแสเลือด แต่ผู้ป่วยจำนวนหนึ่งอาจมีเม็ดเลือดขาวต่ำและตรวจไม่พบเม็ดเลือดขาวชนิดตัวอ่อนในเลือดก็ได้ แต่ตรวจพบในไขกระดูกหรืออวัยวะอื่นจำนวนมากแทน 

  ผู้ป่วยที่สงสัยเป็นมะเร็งเม็ดโลหิตขาวชนิดเฉียบพลัน ควรได้รับการตรวจสภาพร่างกาย ดังนี้ 

    1. ซักถามประวัติ ต่าง ๆ เช่น ประวัติอาชีพที่เสี่ยงต่อโรค ประวัติการให้เลือด ประวัติโรคหัวใจ ประวัติการแพ้ยา ประวัติครอบครัว ประวัติการติดเชื้อต่าง ๆ เป็นต้น 

    2. ตรวจร่างกายอย่างละเอียด ประเมินสภาพร่างกายโดยรวม ตรวจหาร่องรอยของการติดเชื้อในช่องปากและฟัน มีเชื้อราในช่องปากหรือไม่ 
ตรวจการติดเชื้อบริเวณโพรงหลังจมูก ปอด และ บริเวณ รอบ ๆ ทวารหนัก เป็นต้น 

   ตรวจร่างกายตามระบบ คือ หัวใจ ระบบการหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบประสาท 
   ตรวจหาโรคภายนอกอื่น ๆ เช่น ผิวหนัง ระบบประสาท ต่อมน้ำเหลือง ตับและม้าม ลูกอัณฑะ เป็นต้น 
   ตรวจหาร่องรอยของเลือดออกผิดปกติ เช่น ตา เหงือก ผิวหนัง เป็นต้น 
   ส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ เพื่อประเมินสภาวะทั่วไปของผู้ป่วยทั้งนี้เพื่อช่วยให้ การรักษาผู้ป่วย 

  การตรวจค้นหาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว 
   1. ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด และการตรวจสเมียร์เลือดด้วยการย้อมสี       เป็นการตรวจขั้นพื้นฐานที่สามารถทำได้ในโรงพยาบาลทั่วไป แพทย์ทั่วไปสามารถให้การวินิจฉัยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันได้ไม่ยาก เนื่องจากผู้ป่วยมักซีด และมีเกร็ดเลือดต่ำผู้ป่วยส่วนใหญ่มีจำนวนเม็ดเลือดขาวสูงมาก และส่วนใหญ่เป็นเม็ดเลือดขาวตัวอ่อน 

   2. การตรวจไขกระดูก        ควรทำการส่งตรวจเพื่อยืนยันการวินิจฉัยและแยกชนิดย่อยของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน การตรวจเหล่านี้มีความสำคัญและจำเป็นต้องทำเนื่องจากทำให้สามารถบอกพยากรณ์โรค มีผลต่อการเลือกการรักษาที่เหมาะสมแก่ผู้ป่วย 

   3. การตรวจระดับยีน        การตรวจระดับยีนนอกจากจะมีประโยชน์ในการช่วยแยกชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันและบอกพยากรณ์โรคแล้ว ยังมีประโยชน์ในการติดตามโรคหลังการรักษา ซึ่งกรณีนี้สามารถทำได้เฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยมีความผิดปกติของโครโมโซมที่สามารถทำการตรวจระดับยีนได้ 

นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องทำการตรวจเพื่อประเมินสภาพร่างกายทั่วไปของผู้ป่วยก่อนการรักษา ซึ่งเป็นการตรวจความสมบูรณ์ของระบบต่าง ๆ ของร่างกายผู้ป่วยทุกรายก่อนเริ่มให้การรักษาด้วยเคมีบำบัด เช่น การเจาะเลือด การถ่ายภาพรังสีทรวงอก การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น 

  การรักษาโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว
   1. การรักษาแบบประคับประคอง 
      ในสถานพยาบาลที่ไม่อาจให้เคมีบำบัดแนะนำให้ส่งต่อผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาลขนาดใหญ่ที่มีความพร้อมมากกว่าทันที หลังให้การรักษาแบบประคับประคอง ให้ผู้ป่วยพ้นภาวะวิกฤตแล้ว 

       การรักษาประคับประคองที่ควรทำได้แก่ การให้ส่วนประกอบของเลือดชนิดต่างๆ ที่เหมาะกับภาวะโรคของผู้ป่วย การให้ยาปฏิชีวนะ ในผู้ป่วยที่มีไข้ การลดจำนวนเม็ดเลือดขาวเบื้องต้น เป็นต้น 

   2. การรักษาจำเพาะ        การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันจะใช้เคมีบำบัดเป็นหลัก โดยมีเป้าหมายเพื่อทำให้ไขกระดูกกลับมาทำหน้าที่ตามปกติให้ได้เร็วที่สุด โดยสามารถกำจัดเซลล์มะเร็งให้ได้มากที่สุด ป้องกันการเพิ่มจำนวนของเซลล์มะเร็งเม็ดเลือดขาวที่ดื้อต่อยาเคมีบำบัด ป้องกันการเกิดโรคใน ตำแหน่งที่ยาเคมีบำบัดเข้าถึงได้ยาก เช่น ระบบประสาทส่วนกลาง และกำจัดเซลล์มะเร็งเม็ดโลหิตขาว จำนวนเล็กน้อยที่หลงเหลืออยู่ โดยการให้เคมีบำบัดต่อเนื่องอีกระยะหนึ่งหลังผู้ป่วยเข้าสู่ภาวะโรคสงบ แล้ว ดังนั้นชุดยาเคมีบำบัดที่ใช้จึงประกอบด้วยยาหลายชนิดให้ในขนาดและเวลาต่าง ๆ กัน ๆ 

  การพยากรณ์โรคผู้ป่วยมะเร็งเม็ดโลหิตขาวชนิดเฉียบพลัน ที่ไม่ได้รับการรักษาจะถึงแก่กรรมอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่กี่วันหรือไม่กี่สัปดาห์ เนื่องจากภาวะไขกระดูกล้มเหลวทำให้ผู้ป่วยติดเชื้อรุนแรงหรือเลือดออกในอวัยวะที่สำคัญ ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยโปรแกรมการรักษาที่เหมาะฟสมมีโอกาสเข้าสู่ภาวะโรคสงบ ประมาณร้อยละ 70-85 ในผู้ป่วยผู้ใหญ่ที่ได้รับการรักษาเต็มที่สามารถหวังผลหายขาดได้ประมาณ ร้อยละ 20-40 ทั้งนี้ขึ้นกับ อายุของผู้ป่วย จำนวนเม็ดเลือดขาวเมื่อแรกวินิจฉัย และความผิดปกติของ โครโมโซมที่ตรวจพบ 

จะทำไงต่อไปละทีนี

ช้านไม่อยากเป็น
ช้านไม่อยากได้
ช้านไม่อยากมี
อะไรทั้งนั้น
ถ้ารู้ว่าต้องมาเจอเรื่องแบบนี้
ไม่อยากได้อยากมีไรสักอย่างละตอนนี้
ต้องทำไงละเนี่ย
แย่สุดๆ
แย่มาก
สุดๆ ละคิดไรไม่ออก
ไม่รู้จะทำไง  ใครก็ช่วยเราไม่ได้

วันศุกร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2555

ถ้าเป็นลูคีเมียจะรักษาอย่างไร

การรักษา โดยทั่วไปจะใช้วิธีการรักษาด้วยยาเคมีบำบัดเป็นหลัก นอกจากนี้แพทย์อาจใช้วิธีการปลูกถ่าย
ไขกระดูก และรังสีรักษา เพื่อเสริมการรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็งเม็ดเลือดขาว การตอบสนอง
ต่อการรักษา ด้วยยาเคมีบำบัด และอายุของผู้ป่วยด้วย ข้อแนะนำสำหรับการป้องกันโรคนี้ คือ การหลีกเลี่ยง
เกี่ยวกับการสัมผัสกับกัมมันตภาพรังสี และสารเคมีที่ก่อให้เกิดมะเร็ง เช่น ยาฆ่าแมลง สีทาบ้าน ควันพิษต่าง ๆ
และผู้ที่มีกรรมพันธุ์เป็นโรคที่ควรได้รับการตรวจสุขภาพประจำปี อย่างน้อยปีละครั้ง

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแตกต่างกันไปตามชนิดของมะเร็ง และสภาพของผู้ป่วยแต่ละคน หากเป็นชนิด
เรื้อรัง แพทย์จะให้ยาเคมีบำบัดแบบรับประทานเพื่อให้จำนวนเม็ดเลือดที่ผิดปกติลดลง และขนาดของตับม้าม
ลดลงในเวลาที่เหมาะสม การให้ยารับประทานอาจมีการปรับขนาดของยาบ้างตามจำนวนเม็ดเลือดขาว
แต่จะให้ไปเรื่อยๆ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรังถึงแม้จะมีอาการไม่มาก แต่เป็นมะเร็งที่ไม่สามารถรักษา
ให้หายขาดได้ด้วยการใช้ยาเคมีบำบัดเพียงอย่างเดียว วิธีที่อาจรักษาผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือดขาวเรื้อรังให้
หายขาดและได้ผลดีได้ คือการปลูกถ่ายไขกระดูก

การรักษามะเร็งเม็ดเลือดขาวแบบเฉียบพลันมีเป้าหมายคือต้องการให้โรคเข้าสู่ระยะสงบ (remission)
ระยะสงบเป็นระยะที่จำนวนของเซลล์มะเร็งลดลง และเซลล์ปกติมีจำนวนและหน้าที่กลับมาปกติ ผู้ป่วยที่เข้า
สู่ระยะสงบจะอยู่ในระยะนี้ได้ประมาณ 3-9 เดือน หลังจากนั้นผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับเป็นโรคใหม่
(relapse)

การรักษาเพื่อให้เข้าสู่ระยะสงบนั้นรักษาด้วยการใช้ยาเคมีบำบัด (chemotherapy) ขนาดค่อนข้างสูง
เข้าทางเส้นเลือด หลังจากให้ยา ผู้ป่วยจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ผมร่วง และเม็ดเลือดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อ
ง่ายและมีไข้ ระยะนี้เป็นระยะที่เกิดภาวะแทรกซ้อนและอันตรายถึงชีวิตได้ง่าย
ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะต้องอยู่ในโรงพยาบาลเพื่อให้ยาปฏิชีวนะและให้เลือดประมาณ 3-4 สัปดาห์ หลังจากนั้น
หากผู้ป่วยไม่เสียชีวิตจากภาวะแทรกซ้อน ก็จะฟื้นตัวเข้าสู่ระยะสงบ ระยะนี้เป็นระยะที่ผู้ป่วยจะมีอาการปกติ
เหมือนตอนก่อนจะป่วย แต่เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่จะกลับเป็นโรคใหม่ จึงต้องให้การรักษาเพื่อที่จะป้องกัน
การกลับเป็นโรคใหม่ โดยการให้ยาเคมีบำบัดซ้ำในขนาดสูง หรือการปลูกถ่ายไขกระดูก ดังนั้นผู้ป่วยแต่ละราย
มักจะต้องได้เคมีบำบัดหลายรอบหลายครั้ง โดยทั่วไปประมาณ 3-6 ครั้ง แต่ละครั้งห่างกันประมาณ 2-3
เดือน ในปัจจุบันเราสามารถรักษาผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันให้หายขาดได้ประมาณ 1
ใน 3 ถึง 1 ใน 2 ของผู้ป่วยทั้งหมด การที่ผู้ป่วยแต่ละรายจะหายขาดหรือไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
แต่ที่สำคัญที่สุดคืออายุและสภาพร่างกายของผู้ป่วย และชนิดความผิดปกติทางพันธุกรรมของมะเร็ง
เม็ดเลือดขาวที่ผู้ป่วยเป็น

การรักษาโรคลิวคีเมียทำได้ 2 วิธี คือ 
1. การป้องกันไม่ให้เกิดโรค
2. การรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้ว 


การป้องกันไม่ให้เกิดโรค
การป้องกันไม่ให้เกิดโรคนั้นยังห่างไกลจากความเป็นจริงมาก แม้ว่าวิทยาการก้าวหน้าไปมากแค่ไหนก็ตาม เรายังไม่มีวิธีที่จะป้องกันไม่ให้ เกิดโรคลิวคีเมียได้ เพราะ ดังที่ได้กล่าวแล้วในตอนสาเหตุว่า สาเหตุต่างๆ ที่กล่าวถึงนั้นเป็นเพียงสาเหตุชักจูงเท่านั้น เรายังไม่ทราบว่าทำไมคน บางคนได้รับสาเหตุชักจูงแล้วเป็นโรคลิวคีเมียแต่บาง คนไม่เป็น

การรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้ว
การรักษาโรคที่เกิดขึ้นแล้วนั้น แบ่งเป็น 2 อย่าง คือ การรักษาตัวโรคลิวคีเมียเอง และการป้องกันและรักษาโรคแทรกซ้อน หรืออาการต่างๆ ที่เป็นผลจากโรคลิวคีเมีย

การรักษาตัวโรคลิวคีเมียเอง การรักษาโรคลิวคีเมียเองนั้น ทำได้โดยการใช้ยาซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าหรือทำลายเซลล์
ลิวคีเมีย (และในขณะเดียว กันก็อาจจะทำลายเซลล์ เม็ดเลือดที่ปกติด้วย) ในปัจจุบันนี้การรักษาโรคลิวคีเมียได้ผลดีขึ้นมากทั้งนี้ก็เป็นผลจากยาที่นำมาใช้มีคุณภาพดีขึ้น ลิวคีเมีย บางชนิด
อาจจะรักษาให้หายขาดได้ในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งลิวคีเมียในเด็ก
สำหรับลิวคีเมียในผู้ใหญ่แม้ว่าการรักษาจะดีขึ้นมากแต่ก็ยัง ไกล จากความหวังในเรื่องหายขาด

นอกจากนี้การรักษามีความจำเป็นที่ผู้ป่วยจะต้องได้รับเลือดเข้าไปชดเชย เพื่อให้ร่างกายมีเม็ดเลือดแดงมากพอ
ที่จะทำหน้าที่นำออกซิเจน ไปให้อวัยวะต่างๆ ได้


การป้องกันและการรักษาโรคแทรกซ้อน การป้องและรักษาโรคแทรกซ้อนนั้น ก็ทำไปตามอาการของผู้ป่วย เช่น
ซีดมากก็ให้เลือดถ้า เกล็ดเลือดต่ำ มีอาการเลือดออก ตามที่ต่างๆ ก็ต้องให้เกล็ดเลือด 

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

ชอบมากเลยอันนี้


อยู่ให้สบาย


อยู่ให้สบาย


ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด
อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา
เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง


:: หลวงปู่ทวด
 

คิดถึงมาก


วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

เหนื่อยแหละ

วันนี้เป็นวันไรเนี่ย
ทำไมช้านจะต้องมาเจอเรื่องไรต่างๆ
ที่น่าปวดหัวเช่นนี้
ไรต่อไรเข้ามาวุ่นวายในชีวิตเหลือเกิน
เบื่อๆ แล้วก็เหนื่อยด้วย
เครียดวุ้ยยยยยย
ทำไงดี

มีกันตลอดไป


วันพุธที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2555

เข้าใจ

คนเราทุกคนจะมามัวจมปรักกับความทุกข์ตลอดไป
คงเป็นไปไม่ได้  ชีวิตมันต้องดำเนินต่อไป
ไม่ช่ายแค่ตัวเอง  แต่มันหมายถึงคนรอบข้าง
ลูกหลานพ่อแม่พี่น้องด้วย

พี่เอก ก็เป็นหนึ่งในบุคคลในกลุ่มนั้น
รู้พี่เอกเสียใจกับการจากไปของพี่เก่
 6 เดือนเต็มๆ กับการที่พี่เอกต้องดำเนินชีวิต
เพียงลำพัง เลี้ยงเอมิลด้วยความดูแลเอาใจใส่
เป็นทั้งพ่อทั้งแม่ ในเวลาเดียวกัน
พี่เอกเหงา เศร้า เสียใจ  กลุ้มใจ  เราเข้าใจ
พี่เอกต้องการกำลังใจ แล้วใครคนนั้นก็เข้ามาในชีวิต
ปลอบใจ  ให้กำลังใจ  เป็นที่ปรึกษาปัญหาต่างๆ
ยอมรับและรักเอมิลเหมือนเป็นลูกในไส้
อันนี้ก็เป็นสิ่งที่ดี ที่เราอยากให้เป็นอย่างนั้น
แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจพี่เอก
เข็มนะเข้าใจพี่นะ  คนเราไม่สามารถที่จะดำเนินชีวิตอยู่เพียงลำพัง
ในโลกได้หรอก  ใครจะบอกว่าอยู่คนเดียวในโลกได้
โดยไม่มีคู่  คงไม่ใช่
แต่ก็มีเพื่อนๆ พี่เก๋บางคนไม่พอใจ
กับการกระทำของพี่เอก
ที่มีรูปสาวสวยคนหนึ่งลงในเฟสของพี่เอก
พี่เอกมีสิทธิ์จะคุยกะใครก็ได้ แล้วแต่ใจของพี่เอก
ถ้าตอนนี้พี่เก่ยังอยู่ก็ว่าไปอย่าง
สมควรที่จะด่าพี่เอกได้
แต่ตอนนี้พี่เก๋ไม่อยู่แล้ว  เรียกยังไงก็คงไม่กับมา
คนนอกครอบครัวไม่ควรเข้าไปยุ่ง
ปล่อยให้พี่เอกจัดการกับชีวิตของเค้าเอง
เราควรดูอยู่ห่างๆ  จะดีกว่า

อันนี้เข็มเข้าใจ
ไม่โกรธ ไม่เคือง ไม่ว่าพี่เอกหรอกนะ
ที่พี่จะมีแฟนใหม่
ถ้าพี่รัก  เค้ารักพี่  และก็รักเอมิล
เหมือนที่พี่เก๋รัก
เราก็จะรักด้วย

เข้าใจ   และก็เข้าใจ

เงิน คำเดียวเท่านั้น

เพราะคำว่า  "เงิน"  เหรอ
ทำให้คนเราเป็นแบบนี้
คนเป็นพี่เป็นน้องกัน
ทำไมทำกันแบบนี้
แค่นี้ไม่น่าทำกันนะ
รู้ว่าเงินคือพระเจ้า
แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
ว่า  ทำไม  แล้วก็ทำไม

วันจันทร์ที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2555

วางใจได้ไม่ทุกข์

เรื่องโดย พระอาจารย์ชาญชัย อธิปญฺโญ 

เราต่างปรารถนาความสุข 
หากความสุข มีที่ที่เราจะหาได้หรือซื้อหาเอามาได้ 
เราคงได้พบกับความสุขตามที่เราต้องการโดยไม่ยากนัก 

เราต่างก็ยอมรับว่า ความสุขอยู่ที่ใจ 
ซึ่งเท่ากับยอมรับว่า ความสุขอยู่ภายในตัวเรานั่นเอง 
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราก็ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนไปหาความสุขนอกตัว 
และไม่จำเป็นต้องใช้เงินมากมายซื้อหาความสุข 

เราน่าจะมีความสุขได้ในทุกครั้งที่เราต้องการ
เพราะมันอยู่ภายในใจของเรานี่เอง
แต่กระนั้นในบางครั้ง ทำไมเราจึงมีความทุกข์มากนัก
ทั้งๆ ที่เราไม่ต้องการความทุกข์เลย 

พระพุทธองค์ตรัสว่า โลกถูกจิตนำไป 
โลกก็คือ สัตว์โลกหรือสรรพชีวิตที่ยังเวียนว่ายตายเกิดอยู่ 
มีใจของตนนำพาชีวิตของตนไป 
หากพูดในทางสังคมวิทยา 
ก็หมายความว่า การกระทำของเราทุกอย่าง 
เกิดจากความคิดจิตใจของเรา 
นั่นหมายถึงว่า สิ่งที่เราได้ มี เป็น อยู่ ทุกๆขณะ 
รวมทั้งสุข-ทุกข์ของเรา เกิดจากการกระทำของเราทั้งสิ้น 
หาใช่พระพรหมลิขิตหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์บันดาลไม่ 

เมื่อเป็นเช่นนี้
ทำอย่างไรเราจึงจะพัฒนาความคิดของเราให้มีคุณภาพ
คือ มีทั้งศักยภาพทางโลกและมีคุณงามความดีในทางธรรม
เพื่อนำความสุขความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับชีวิต
 

ต้องเข้าใจก่อนว่า จิตใจของทุกๆคนนั้น 
มีทั้งฝ่ายดีคือคุณธรรม 
และฝ่ายไม่ดีคือกิเลสตัณหาเข้าไปครองครองอยู่ 
ทั้งสองฝ่ายได้ฝังอยู่ใจจิตมายาวนาน 
ต่างทำหน้าที่ของตนและแข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา 
กล่าวได้ว่า ความดีและความชั่ว 
อาศัยจิตเป็นสนามต่อสู้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน สืบเนื่องมายาวนาน 

เมื่อความดีกับความชั่วต่อสู้กัน
หรือเมื่อเหตุผลกับอารมณ์ต่อสู้กัน ฝ่ายไหนจะเป็นฝ่ายชนะ
 

คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ความดีชนะความชั่ว เหตุผลชนะอารมณ์

แต่ตามกฎธรรมชาติ ฝ่ายที่มีกำลังมากกว่า
ย่อมเอาชนะฝ่ายที่มีกำลังน้อยกว่า

เหตุใดบางครั้งเราจึงทำดี และบางคราวเราจึงทำชั่ว
 

ทุกครั้งที่เราทำดี เป็นเพราะฝ่ายกุศลที่มีอยู่ในจิตชักนำให้ทำ 
ทุกคราวที่เราทำชั่วเป็นเพราะฝ่ายอกุศลจิตชักนำให้ทำ 
อย่างไรก็ตามในบางครั้งเราคิดจะทำชั่ว 
แต่เราก็หักห้ามใจไม่ทำชั่ว 
นั่นเป็นเพราะขณะนั้นฝ่ายกุศลจิตมีกำลังเหนือกว่าฝ่ายอกุศล 
ในทางตรงข้าม บางครั้งเราคิดทำชั่วทั้งๆ ที่รู้ว่าเป็นความชั่ว 
ใจของเราต่อสู้กับความชั่ว 
ในที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะความชั่วได้ จึงทำชั่วลงไป 
นั่นเป็นเพราะขณะนั้นฝ่ายอกุศลในจิตมีกำลังมากกว่าฝ่ายกุศล 

จิตของเราไม่คงที่ ความรู้สึกและความต้องการของเรา 
จึงเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย 
ในสถานการณ์หนึ่งเราอาจจะหักห้ามความต้องการ 
หรือการกระทำของเราได้ 
แต่ในอีกสถานการณ์หนึ่งเรากลับไม่สามารถหักห้ามใจของเราได้ 
ที่เป็นเช่นนี้เพราะกำลังของฝ่ายกุศลและอกุศลที่มีอยู่ในใจของเรา 
เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัย 

ตัวอย่างเช่น เมื่อเราเข้าไปในห้างสรรพสินค้าเพื่อหาซื้อครีมอาบน้ำ 
เราเดินผ่านซุ้มเสื้อผ้า ตาเหลือบไปเห็นเสื้อตัวหนึ่ง (ผัสสะ) 
ความรู้สึกชอบ (เวทนา) ก็เกิดขึ้นทันที 
ความอยากได้ (ตัณหา) ก็เกิดตามมา 
เราเข้าไปดูเสื้อผ้าตัวนั้นอย่างใกล้ชิด เห็นราคาค่อนข้างแพง 
ความลังเลก็เกิดขึ้นว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อ 
ที่สุดก็ตัดสินใจไม่ซื้อ เดินจากไป 
ช่วงนี้จิตได้ผ่านการต่อสู้ระหว่างกิเลสตัณหาคือฝ่ายอยากได้เสื้อ 
กับสติปัญญาคือ ความประหยัด 
การที่เราไม่ซื้อเสื้อ แสดงว่าฝ่ายสติปัญญาชนะ 
ทำให้เราไม่ยึดติด (อุปาทาน) กับความอยากได้ (ตัณหา) 

ครั้นเราเดินต่อไปสักครู่หนึ่งเห็นคนใส่เสื้อสวย 
ความอยากได้เสื้อตัวนั้นก็ผุดขึ้นมาอีก 
ตอนนี้เราต้องเดินกลับไปหาเสื้อตัวนั้น 
ที่สุดเราก็ตัดสินใจซื้อ 
นี่แสดงว่าเรามีความยึดติด (อุปาทาน) กับเสื้อตัวนั้น 
ส่งให้ความอยากได้ (ตัณหา) มีกำลังมากขึ้น 
จนเอาชนะใจของเราได้ 
หากเราไม่ยึดติดกับเสื้อตัวนั้น 
ความอยากเมื่อเกิดขึ้นไม่ได้รับการตอบสนองก็จะดับไป 
ไม่มีกำลังมากพอที่จะเอาชนะใจของเราได้ 

ความยึดติดนี่เองที่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเรา 
ทำให้เราหาความสุขไม่ค่อยได้ 
พระพุทธองค์ตรัสว่า อุปาทานหรือความยึดติด 
ในความเห็นว่าเป็นตัวเราและของเรา 
ทำให้เราเป็นทุกข์ ตามธรรมดาแล้ว 
ทุกชีวิตย่อมประสบกับสิ่งที่สมหวังและผิดหวัง 
สิ่งที่ไม่สมหวังและผ่านแล้วหากเรายังไม่ปล่อยวางทางใจ 
กลับไปยึดติดครุ่นคิดคำนึงถึงสิ่งนั้น 
อยากจะบังคับให้ได้อย่างใจ ยิ่งทำให้ทุกข์ใจ 

เมื่อยึดติดสิ่งใด ก็เท่ากับเราเอาใจไปผูกไว้กับสิ่งนั้น
ใจจึงไม่มีอิสระ ครั้นสิ่งนั้นถูกระทบ
ใจก็พลอยกระเทือนไปด้วย
ยิ่งเมื่อพลัดพรากจากของรัก
ใจก็โหยหาอาลัย จมปลักอยู่ในความทุกข์ 

การฝึกใจให้มีความฉลาด 
โดยการเรียนรู้ธรรมชาติความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายว่า 
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ บังคับไม่ได้ดังใจ 
หรือการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 
จะช่วยเติมกำลังฝ่ายกุศลเข้าไปในจิตได้เป็นอย่างดี 
เพื่อให้จิตมีความเข้มแข็งที่จะเอาชนะกิเลสตัณหา 
และถอดถอนอุปาทานหรือความยึดมั่นสำคัญผิดลงไปได้ 

จิตที่ฝึกดีแล้วควรแก่การใช้งาน จิตที่ฝึกดีแล้วนำสุขมาให้ 





ขอบคุณบทความจาก กัลยณธรรม

จงเห็นความสำคัญของสติ

สติจึงสำคัญนัก สำคัญที่สุด
สติจะทำให้ผู้มีสติรู้ผิดรู้ชอบดังกล่าวแล้ว
ไม่มีใครอยากทำผิด
ถ้ามีสติรู้ตัวรู้ผิดชอบ จะรู้เมื่อกรรมเข้ามาบัญชา
จะไม่ยอมแพ้กรรม
นั่นก็คือจะสามารถรักษาตัว
ให้พ้นจากการเป็นคนคิดชั่ว คนพูดชั่ว คนทำชั่วได้

จงเห็นความสำคัญที่สุดของสติ
พยายามมีสติไว้ให้เสมอ คือ พยายามอย่าให้ขาดสติ
อะไรเกิดขึ้นจะได้ไม่ยอมเป็นผู้แพ้กรรม
จะรู้ถูกรู้ผิด รู้ดีรู้ชั่ว รู้ผิดรู้ชอบ
อะไรจะพาไปถูกก็รู้ อะไรจะพาไปผิดก็รู้
อะไรจะพาไปดีก็รู้ อะไรจะพาไปชั่วก็รู้


ความมีสติรู้เช่นนี้สำคัญนัก
ให้มีสติจริง ให้รู้จริง
จะไม่ตกอยู่ใต้บังคับบัญชาที่เลวร้ายรุนแรงของกรรม


:: สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก
 

ปีใหม่แสนเศร้า

เกือบจะลืมไปด้วยซ้ำว่านี่ปีใหม่
ปีแห่งความสุข
แต่คงไม่มีคำว่าความสุขกะครอบครัวของเรา
ในช่วงแบบนี้  อุ้ยยืนไม่อยู่
ไม่รู้จะสุขไง ยังทำใจไม่ได้
รู้ว่าอุ้ยยืนไปสบายนะ
แต่ก็ยังอดคิดไม่ได้  คิดถึง
วันก่อนไปทำบุญให้
ขวัญนอนเฝ้าเฮือนตานให้อุ้ย สองคืน
บอกว่าอุ้ยมาหามาลูบหัวหลายรอบ
มาเอาของที่ลืม  แถมบอกอีกว่า ทำไไม่เอาเก้าอี้ที่อุ้ยนั่งประจำส่งไปให้
อ้าว แต้กะนิ  มะมีใครเอาใส่ให้ แต่ตอนนี้พวกเราเอาทำบุญไปให้แล้วนะอุ้ย
ต่อไปนี้ ถ้าอยากได้อารายก็บอกเน้อ
เข็มสื่อกะอุ้ยไม่ได้ ขวัญกะนิวสื่อได้  ก็บอกสองคนนั้นนะ
แล้วเข็มจะทำบุญให้ไปเรื่อยๆ
ส่วนยาทาปากนะ  อย่าลืมทานะ  เดียวจาไม่หาย
วันก่อนอุ้ยไป  ทาไปน้อยเดียวเอง ซื้อมาให้หลอดซะใหญ่เชียว
ได้ทาไปสองสามครั้งเอง เดียวไม่หายนะ
เดียวกินข้าวไม่ลำเน้อ
คิดถึงนะอุ้ย
ชาติหน้ามีจริงขอให้เราได้มาเกิดเป็นอุ้ยเป็นลูกเป็นหลานกันอีกนะ
รักอุ้ยมาก ๆ คิดถึงที่สุดเลย
ปีใหม่นี้ไม่ได้กอดกันเลยนะ
และคงไม่ได้กอดกันตลอดไป
แต่อุ้ยจะอยู่ในใจเราตราบชั่วนิรันดร์