วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

เหนื่อยเหลือเกิน!!!!!!!!!!!

ทุกวันนี้เป็นไรนะ
ชีวิตมีแต่เรื่องปวดหัวทุกวัน
ไม่ได้สุขอย่างคนอื่นเค้าเลย
ปัญหาประเดประดังเข้ามา
หนักตัวหนักใจไปหมด
แก้ไขไงให้หมดไป
เหนื่อย
ฉันเหนื่อยเหลือเกิน
จะไม่มีแรงเดินต่อไปแล้วนะ
ท้อเกินทน

วันพุธที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2555

อะไรอีกละเนี่ย

วันนี้เพลียทั้งวันเลย
งานแยะ ไม่ได้เงยหน้าเงยตาเลยนะ
แถมเดินทั้งวันอีก
มีคนถามว่าเป็นบ้าป่าว  ใส่เสื้อแขนยาวใส่ถุงเท้า ทั้งวัน
ไม่ได้บ้าหรอก แต่หนาวตัวสั่นทั้งวัน
เป็นไรไม่รู้  เหมือนจะเป็นไข้ให้ได้
เลยต้องทำให้ร่างกายอบอุ่นไว้ก่อน

ตกเย็นเอาอีกแระ
เป็นไรอีกละเนี่ย
อาบน้ำเสร็จทำไมคันไปทั้งตัวอย่างนี้
ผื่นขึ้นทั้งตัวเลย
ทาคารามายจนตัวขาวโป๊ะ  ยังไม่หายอีก
ขาช้าน  คันกว่าที่อื่นๆ
ผื่นเม็ดใสๆๆ  คันมาก ไม่กล้าเกา กัวจะลาม
คันมาก  ทำไงดีละเนี่ย คอยดูนะถ้าวันพรุ่งนี้ไม่หาย
คงต้องไปหาหมออีกแระ โอยจะบ้าตายไม่อยากไป
คิดว่าพรุ่งนี้น่าจะหายนะ
โรคเยอะจิงๆๆ ตัวช้าน
เป็นมันสารพัดโรค  เบื่อๆๆๆๆ

คิดถึง


ดูแลชีวิต...ด้วยความคิดในทางที่ดี

คำสอนของนิกายเซนกล่าวว่า
"มนุษย์ย่อมได้รับกรรมดีหรือกรรมชั่ว
จากการกระทำของตนเองที่ได้กระทำลงไป"


ชีวิตเป็นของท่าน ฉะนั้นจะต้องดูแลควบคุมชีวิตให้ดี
ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด
หรือเผชิญหน้ากับปัญหาหนักเพียงใดก็ตาม

การเศร้าโศกเสียใจหรือหมดอาลัยตายอยากในชีวิต
นอกจากจะเป็นผลร้ายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเองแล้ว

หากอยู่ในภาวะซึมเศร้า จิตใจก็จะเสื่อมถอย
จนไม่สามารถคิดหาวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆได้
กลายเป็นเคราะห์ซ้ำกรรมซัด หรือผีซ้ำด้ำพลอยไปเสียอีก
ฉะนั้นจงพยายามควบคุมจิตใจและดูแลชีวิตให้ดี
อย่าปล่อยให้สิ่งใดๆ มีอิทธิพลเหนือจิตใจ
อย่าปล่อยความคิดเลวคิดชั่ว แม้เป็นความคิดเพียงเล็กน้อยก็ตาม
มาทำลายตนเองเพียงเพราะหลงมัวเมากับกิเลสชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น

จงอย่าลืมคำสอนของพระพุทธเจ้าว่า

"นกในกรงขังออกจากกรงขังไม่ได้ ฉันใด
ผู้เขลาต่อความถูกหรือความผิด
ก็ย่อมจะออกจากความทุกข์ระทมมิได้ ฉันนั้น"



-----------------------------------------------
จาก คู่มือสู้ชีวิตด้วยตนเอง ชุดที่ 3
มีความสุข...สนุกกับความสำเร็จ
รวบรวมเรียบเรียงโดย เบญญาวัธน์



ที่มา...บ้านใส่ใจ

หมดหวังท้อแท้ในชีวิต..คิดอย่างไรให้ใจสู้


ในช่วงเวลาที่ผ่านมาของชีวิต..
หลายคนคงผ่านบทเรียนแห่งชีวิตมานับไม่ถ้วน..
ทั้งบทเรียนแห่งความผิดหวัง..
 

บทเรียนแห่งความท้อแท้..แพ้ชีวิต..
บทเรียนแห่งความสำเร็จ..
ไม่ว่าจะเป็นบทเรียนใด ๆ ก็ตาม.. 
เมื่อเราเกิดความผิดหวัง...ท้อแท้..ในชีวิต..
เราต้องพยายามปรับใจ..วางใจให้ถูก..
ด้วยวิธีการคิดที่จะปรับเปลี่ยน..ชีวิตของเรา..
ให้มีกำลังใจ..สู้ต่อไป..

๔ วิธีคิดที่จะสร้างพลังใจให้สู้ คือ..
วิธีที่ ๑ คิดแบบตรงกันข้ามกับความรู้สึกในขณะนั้น เช่น
>>>…ถ้าทุกข์ ก็คิดสร้างสุข
>>>…ถ้ายากก็คิดแบบง่าย...
>>>…ถ้าเกิดปัญหา ก็คิดแก้ปัญหา..
วิธีที่ ๒ คิดแบบสร้างกำลังใจ เช่น
>>>…ปลุกปลอบใจตนเอง...ทุกครั้งที่เกิดความท้อแท้..ผิดหวัง
>>>…บอกตนเองเสมอว่า..เราต้องทำได้..เราต้องทำได้อย่างแน่นอน..
>>>…เราต้องทำได้แน่นอนที่สุด..ไม่มีคำว่า..ทำไม่ได้..
>>>…ท่องไว้ในใจว่า..ไม่มี ไม่เป็น ไม่เหนื่อย...
>>>….ไม่ทุกข์ ไม่ท้อ ไม่หนี ไม่มีปัญหา...
วิธีที่ ๓ คิดแบบมีเป้าหมายในชีวิตที่แน่นอน มุ่งมั่น เด็ดเดี่ยว.. >>>…หากยังไม่ประสบความสำเร็จ..
>>>…ก็จะไม่เลิก ลด ละ ความเพียรพยายาม..
>>>…จงสู้ต่อไปจนกว่าจะประสบความสำเร็จ..
>>>…แม้จะเป็นวินาทีสุดท้ายของลมหายใจก็ตาม..
วิธีที่ ๔ คิดใหญ่ไม่คิดเล็ก.. 
>>>…มองปัญหาออก..แก้ปัญหาเป็น..
>>>…คิดการใหญ่...ใช้คนเป็น..รู้เห็นตามความถูกต้อง..
>>>…มุ่งปรองดอง...รักษาน้ำใจ..สร้างมิตรภาพ..
>>>…อย่าลืมว่า.. “ยิ่งสูงยิ่งหนาว” ...
>>>…ต้องคิดดี..ทำดี..พูดดี..ทุกที่ทุกเวลา...

ดังนั้น..

ถ้าท้อแท้..หมดหวังในชีวิต..
จงพยายามคิดให้ใจสู้...
อย่าเชื่อว่า...เราทำไม่ได้..ถ้ายังไม่ได้ลงมือทำ..
อย่าท้อแท้..ตราบใดที่เรายังไม่ได้พยายาม..
อย่าสิ้นหวัง...ตราบใดที่เรายังมีกำลังใจ..
อย่าแพ้ชีวิต...ตราบใดที่ใจของเรายังมีหวัง..
จงอย่าทำลายความหวัง...เพียงเพราะ....
การดูหมิ่นตนเองว่า... “ทำไม่ได้”...

ความเพียร

บุคคลล่วง ทุกข์ได้ ด้วยความเพียร
ทั้งการเรียน การงาน ผ่านวิถี
ไม่ว่ายาก หรือง่าย หลายวิธี
ทั้งหนักเบา ก็ไม่มี ว่าเกี่ยงการ


งานหนักเบา หากไม่สู้ อู้หลีกหลบ
ถึงหากทำ ก็เกลี่ยกลบ แบบผ่านผ่าน
ทำทิ้งทิ้ง ขว้างขว้าง อย่างรำคาญ
ย่อมพบพาน ความล่มจม ถมชีวา

งานหนักเบา หากเราสู้ อย่างรู้หลัก
เหมือนปลวกถัก ทอถนอม จอมปลวกหนา
ขนเอาดิน ทีละนิด มาปิดทา
เป็นภูผา อย่างย่อมย่อม น้อมแสดง

ย่อมสำเร็จ เสร็จการ ไม่นานนัก
เพราะรู้จัก แก้ไข ไม่หน่ายแหนง
งานที่เบา ก็จะง่าย ไม่เปลืองแรง
งานที่หนัก ก็จะแกร่ง ชำนาญการ

บุคคลล่วงทุกข์ได้ด้วยความเพียร
เป็นบทเรียนพุทธองค์ทรงส่งสาส์น
สอนชาวชนให้รู้ค่ามาช้านาน
จงเจือจานให้ตนพ้นทุกข์เทอญ ฯ

อาการ“เบื่อ-ท้อ”แก้ที่ความคิด


“เส้นชัย” รอทุกคนก้าวมาสัมผัส เพียงไม่ท้อต่ออุปสรรค และไม่ล้มเลิกกลางคันเสียก่อน แรงผลักดันสู่ความสำเร็จประการหนึ่ง นั่นคือ “การคิดบวก” และ “ความเชื่อมั่นว่าทำได้”
เคยรู้สึกหรือไม่? เมื่อต้องร่วมงานกับผู้มีทัศนคติเชิงบวก เราเองก็คล้ายได้รับพลังงานความกระตือรือร้นไปด้วย ในทางกลับกันทุกคนก็สามารถเป็นผู้โอนถ่ายความรู้สึกนั้นได้
ด้วยการปรับโหมดความคิดเป็นบวก เชื่อมั่นในโอกาสที่ได้รับว่าเป็นสิ่งท้าทาย พร้อมมุ่งมั่นเรียนรู้ ขณะเดียวกัน การวางแผนอย่างเป็นขั้นตอนจะช่วยรับมือกับปัญหาได้ดี
อย่ากลัวการเริ่มต้น หรือ การทำงานที่ไม่เคยทำ เพราะในความเป็นจริง คือ คุณกำลังกลัวในสิ่งซึ่งยังไม่เกิด เป็นแต่เพียงการคิดล่วงหน้า เมื่อถึงเวลาอาจไม่น่ากลัว หรือ ไม่เกิดอะไรขึ้นก็เป็นได้
หากพบข้อผิดพลาด หรือ อุปสรรค มองเป็นตัวช่วยพัฒนาสติ ความรู้ ประสบการณ์ และเป็นโอกาสปรับปรุงขั้นตอนการทำงานให้ดีขึ้น เพราะปัญหาทุกอย่างมีทางแก้ไข ขอเพียงไม่ล้มเลิกย่อมก้าวข้ามความล้มเหลว
เปิดใจกว้างรับฟังความคิดเห็นผู้อื่น ทั้งคำแนะนำ ติชม โดยใช้วิจารณญาณในการไตร่ตรอง อาจพบมุมมองใหม่ ๆ เพื่อปรับใช้กับงาน ทั้งยังเป็นการขยายความคิดให้กว้างขึ้น
เมื่องานสำเร็จนั่นคือผลจากการกระทำของคุณ หาใช่โชคช่วย ดังนั้น จงมั่นใจ แล้วศึกษาเป็นบทเรียน สำหรับประยุกต์ใช้ หรือ สร้างสรรค์พัฒนางานในโอกาสอื่น
เมื่อใดเกิดความรู้สึกบั่นทอนกำลังใจ มองหาแง่มุมอื่นในเชิงบวก แล้วจะสัมผัสได้ถึงพลังในการก้าวต่อ!!

วันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2555

สตินี่สำคัญมาก

ความระลึกได้เป็นกำลังของใจที่สำคัญ..... เท่ากับอาหารนี่แหละ
ร่างกายของเรายังต้องรับประทานอาหารวันละครั้งสองครั้ง
ดื่มน้ำวันละ 3-4 ครั้ง
ส่วนจิตนี่ต้องอาศัยสติ คือความระลึกได้
ขาดสติเมื่อไร จิตก็หลง..... คิดผิดทันที
ท่านว่าขาดสติ 3 นาที ก็บ้า 3 นาที..... นั่นคือ จิตคิดผิดไปเรื่อยๆ


ถ้าสติดี สัมปชัญญะดี เราจะมีความรู้สึกตัวว่า อะไรผิด อะไรถูก
จิตเราก็ปลอดภัย
เราจะไม่ทำผิด ไม่คิดผิด
ฉะนั้น การสร้างสตินี่เป็นเรื่องสำคัญ
การปฏิบัติธรรมของเราทั้งหมดที่เราอยู่วัดขณะนี้
เพื่อปฏิบัติอบรมสติอันนี้แหละ


ก่อนฟังเทศน์ เราต้องสำรวมกาย วาจา จิต
การสำรวม คือการตั้งสติ ดึงจิตที่คิดออกไปข้างนอกเข้ามาอยู่กับเนื้อ
กับตัวเรา การนั่งสมาธิ ระลึกถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก นี่เป็น
การเจริญสติ เราทำทุกสิ่งทุกอย่างก็เพื่ออบรมสติให้เจริญทั้งนั้น
จึงให้เข้าใจว่า

การปฏิบัติของเราคือการอบรมสติ สร้างสติ
ด้วยการสำรวม กาย วาจา จิต
คอยระวังการกระทำ ระวังการพูด ระวังความคิด
สำรวม ระวัง เป็นข้อวัตรปฏิบัติของเรา
เมื่อเราพยายามสำรวม ระวัง ทั้งกาย วาจา จิต
เรียกว่า เราปฏิบัติอยู่

เป็นการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา เป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด
ผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา ต้องสนใจอบรมสติ สร้างสตินี่แหละ
เพราะเหตุนี้ ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน แม้จะออกจากวัดแล้วก็ตาม
ให้พยายามติดตามความรู้สึก ระวังความรู้สึก
ให้รู้ต่อเนื่องกันเป็นสำคัญ
ปฏิบัติเท่านี้ก็ใช้ได้..... ชีวิตของเราจะไม่เสียเปล่า


ถ้าเราไม่ได้ปฏิบัติ เราจะไม่รู้
บางคนแก่แล้ว มีความทุกข์มาก ไม่สบายใจ
เพราะไม่ได้สนใจที่จะปฏิบัติฝึกฝนจิต



ให้หมั่นพิจารณาว่า ตั้งแต่เราเกิดมา เราดิ้นรนเพื่ออะไร
ธรรมดาทุกชีวิตแสวงหาความสุขกันทั้งนั้น
พยายามหนีจากทุกข์ หรือว่าบรรเทาทุกข์ หรือว่าดับทุกข์กันทั้งนั้น
ให้เราพิจารณาว่า เราแสวงหาความสุขกันตั้งแต่เกิดมา
แล้วเราได้กำไรอย่างไร มีอะไรเป็นกำไรของชีวิต
หรือว่ามีความสุขขนาดไหนในปัจจุบัน
ที่แท้จริงนั้น เราไม่ค่อยได้กำไรเท่าไรหรอก
เพราะ..... เราไม่มีหลัก ไม่ได้ตั้งใจภาวนา
แม้จะมีเงินทองมากเท่าใด เราจะอยู่ที่ไหนก็ตาม
ถ้าทำใจไม่ได้ จะเป็นทุกข์ตลอดเวลา


ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ชีวิตนี้เป็นทุกข์
สมมุติก็ได้นะ สมมุติว่าเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนา
โดยเฉพาะวัตถุเงินทองข้าวของมีทุกสิ่งทุกอย่าง
บุคคลก็ดี ลูกก็ดี หลานก็ดี มีเต็มไปหมด
อะไรที่เราต้องการ เรามีหมด
แต่เราก็หนีความแก่ เจ็บ ตาย ไม่พ้น
ไม่สบายกายนิดหน่อย เช่น ถ่ายไม่หยุด ก็หาความสุขไม่ได้แล้ว
บางคนอาจจะเรียนสูงๆ ปรารถนาอะไรก็ได้ทุกอย่าง
เงินทองมีมากมาย แต่จิตใจไม่สงบ นอนไม่ค่อยหลับ
และหลายคนอาจจะเป็นโรคประสาทก็ได้
ถ้าเราไม่ได้ตั้งใจศึกษาธรรมะ ก็จะมีลักษณะอย่างนั้น


นอกจากเราจะปฏิบัติ เจริญสมาธิ ปัญญา จนมีกำลังใจสมบูรณ์
อินทรีย์แก่กล้า สติ สมาธิ ปัญญาดี ทำใจสงบได้ ก็หมดปัญหา
ที่ท่านเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เราต้องสนใจศึกษา
สนใจพัฒนาศีลให้บริสุทธิ์ อันนี้เป็นข้อสำคัญ
เมื่อศีลสมบูรณ์แล้ว สมาธิก็เกิดได้
เมื่อสมาธิสมบูรณ์แล้ว ปัญญาก็เกิดได้
จะมีปัญญาได้ต้องอาศัยสมาธิ จะมีสมาธิได้ต้องอาศัยศีล
 

ยิ่งแก่...ยิ่งต้องทำงาน

ยิ่งแก่ ยิ่งต้องทำงาน
ยิ่งป่วย ยิ่งต้องทำงาน
เพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด
ต้องทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด


หลวงพ่อปัญญานันทะ เจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์
เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2454 (ตรงกับรัชกาลที่ 6)
และนับถึงปัจจุบันท่านมีอายุ 96 ปี (เมื่อปี 2550)
ถึงแม้ว่าสังขารท่านจะร่วงโรย
มีโรคภัยไข้เจ็บเหมือนปุถุชนคนสูงอายุทั่วไป
แต่ท่านกลับมีแนวคิดที่แตกต่าง
บางคนสังขารร่วงโรย แล้วก็จะเริ่มน้อยใจในชีวิต
ว่าตัวเองไร้ประโยชน์ แต่กับหลวงพ่อแล้วไม่ใช่
คำพูดเมื่อคืนของหลวงพ่อ ทำให้คนขี้เกียจอย่างเรา จุกขึ้นมา
น้ำตารื้นๆ เต็มตา เพราะในวัยที่กำลังทำงานอย่างเรา
กลับสร้างประโยชน์ สร้างคุณงามความดี ได้น้อยกว่าท่านมาก


ท่านว่า... 
ยิ่งแก่ ยิ่งต้องทำงาน
ยิ่งป่วย ยิ่งต้องทำงาน
เพราะเหลือเวลาอีกไม่มาก ต้องทำงานให้ได้มากที่สุด
ต้องทำประโยชน์ให้ได้มากที่สุด
 

คิดอย่างไรเรียกว่าคิดถูก คิดอย่างไรเรียกว่าคิดผิด

เราต้องเข้าใจชัดเจนทั้งสองอย่าง
ในการปฏิบัติของเรา เราต้องพยายามติดตามดู ความรู้สึกนึกคิด
ตลอดวันตลอดคืน ไม่ใช่ปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ที่วัด
ตั้งแต่นี้ต่อไปไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน อยู่ที่บ้าน อยู่ที่ทำงานหรือเที่ยวไป
ก็ตาม พยายามคอยระวังความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง ติดตามศึกษา



ความจริงเราไม่ต้องทำอะไรมาก
เพียงแต่คอยสำรวมระวัง คอยสังเกตว่า
เรามีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร
ให้มีสติ สัมปชัญญะ ระลึกรู้อยู่ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
อันนี้ให้ถือเป็นหน้าที่ของเรา
เราไม่ต้องอ่านหนังสือ หรือฟังเทศน์อะไรมากมาย
เพียงแต่พยายาม เปลี่ยนนิสัย ให้เป็นคนช่างสังเกต

คือสังเกตความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง
สังเกตว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ กำลังพูดอะไร กำลังคิดอะไร
การปฏิบัติเช่นนี้ การพยายามติดตามสังเกตเช่นนี้ จะทำให้เกิดปัญญา


...


ที่มา...ทุกข์เพราะคิดผิด
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก 

วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

โรคของช้านตอนนี้


สาเหตุที่ทำให้คนเราส่วนใหญ่เกิดความกังวลเมื่อมีอาการเจ็บหน้าอกว่าจะเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ก็เนื่องจากโรคนี้อาจจะทำให้หัวใจวายเฉียบพลันและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จริงๆ แล้วอาการเจ็บหน้าอกไม่จำเป็นต้องเกิดจากโรคหัวใจขาดเลือดเสมอไป เพราะอาจจะเกิดจากโรคของอวัยวะอื่นก็ได้
อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่เกี่ยวกับโรคหัวใจมีอะไรบ้าง

 อาการเจ็บหน้าอกอาจจะเกิดจากโรคทางหลอดอาหาร (esophagus) ซึ่งเป็นทางที่อาหารไหลจากปากไปถึงกระเพาะอาหาร กล้ามเนื้อและกระดูกซี่โครงของหน้าอกหน้าหัวใจ กระเพาะอาหาร ถุงน้ำดี และตับอ่อน(ซึ่งอยู่ใกล้กับหัวใจ) อย่างเช่น อาการเจ็บแสบหน้าอกที่เกิดจากกรดไหลย้อน(GERD) จากกระเพาะอาหารขึ้นไประคายเคืองต่อหลอดอาหาร ซึ่งทำให้เกิดความกังวล เนื่องจากมันอยู่ใกล้กับหัวใจ และมีเส้นประสาทความรู้สึกร่วมกับหัวใจ ทำให้มีอาการคล้ายกัน โดยประมาณ 30 % ของผู้ป่วยที่มีอาการเจ็บหน้าอกและตกใจจนต้องรีบไปตรวจหาความผิดปกติของหัวใจหลายอย่าง รวมทั้งการสวนหลอดเลือดหัวใจฉีดสีเอกซเรย์หลอดเลือดหัวใจ (cardiac angiogram) แต่กลับไม่พบอะไร เมื่อตรวจต่อไปจึงพบว่าที่จริงแล้วเกิดจากหลอดอาหาร

อาการเจ็บหน้าอกจากกรดไหลย้อนที่ฝรั่งเรียกว่า heart burn นั้นอาจจะมีอาการอย่างอื่นร่วมด้วยที่เราสามารถใช้ในการสังเกตได้ เช่น มีกรดเปรี้ยวๆ ขมๆ ย้อนขึ้นไปที่คอ ซึ่งแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินบางแห่งจะมีสูตรในการทดลองรักษาและวินิจฉัยที่เรียกว่า GI cocktail (เป็นส่วนผสมของยาลดกรดและยาแก้ปวด) ถ้าผู้ป่วยกินเข้าไปแล้วมีอาการทุเลา แพทย์ก็สามารถแยกโรคได้ แต่ถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น อาจจะทดสอบด้วยการใช้ยากดการหลั่งกรดของกระเพาะที่เรียกกันว่า proton pump inhibitor(PPI) เช่น omeprazole, lansoprazole โดยจะให้ทดลองกินดูสักหนึ่งสัปดาห์ ถ้าได้ผลก็ให้กินต่อไปเพื่อรักษากรดไหลย้อน ถ้าไม่ได้ผลก็ต้องตรวจหาสาเหตุต่อไป คือ

การตรวจว่ามีกรดไหลย้อนเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ด้วยการใช้เครื่องมือเล็กๆ คล้ายแคปซูลยา (ที่มีการส่งข้อมูลผ่านระบบไร้สายเข้าเครื่องตรวจมอนิเตอร์) สอดเข้าไป แล้วทำให้มันคาอยู่ที่หลอดอาหารเหนือกระเพาะอาหาร เพื่อคอยตรวจวัดความเป็นกรดในหลอดอาหาร โดยที่ผู้ป่วยยังสามารถใช้ได้ชีวิตตามปกติ ซึ่งวิธีการตรวจแบบนี้เรียกว่า ambulatory pH testing

หากการตรวจด้วยวิธีนี้สามารถยืนยันได้ว่ามีกรดไหลย้อนมากและเข้ากันได้กับอาการที่เกิดขึ้น ก็เชื่อได้ว่าอาการเจ็บหน้าอกเกิดจากกรดไหลย้อน แพทย์ก็ทำการรักษาโรคกรดไกลย้อนต่อไป คือรักษาทางยาก่อน ถ้ารักษาทางยาไม่ได้ผล ก็ต้องผ่าตัดโดยการเย็บกระเพาะอาหารส่วน fundus ให้ไปโอบรอบหลอดอาหารตรงเหนือรอยต่อกับกระเพาะอาหาร(fundoplication) ทำให้มีแรงรัดเป็นวาล์วกันกรดไหลย้อนได้

 การเจ็บหน้าอกเกิดร่วมกับการกลืนลำบาก แต่ในบางกรณีอาจจะมีอาการเจ็บหน้าอกร่วมกับการกลืนลำบาก ก็จะต้องใช้การตรวจวินิจฉัยและรักษาที่แตกต่างออกไปจากที่กล่าวมา คือ

- การเอกซเรย์หลอดอาหารด้วยการกลืนสารเหลวทึบรังสี ซึ่งจะทำให้รังสีแพทย์มองเห็นความผิดปกติทางกายภาพและการทำงานบีบตัวขับเคลื่อนของหลอดอาหาร ทำให้วินิจฉัยโรคบางอย่างได้ เช่นมะเร็ง การเป็นแผลที่เยื่อบุหลอดอาหารจากการกินยาเม็ดใหญ่โดยไม่กินน้ำตาม แล้วมันไปครูดหลอดอาหาร (ทำให้เจ็บหน้าอก) การตีบแคบของหลอดอาหาร หรือการไม่คลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดตรงรอยต่อของหลอดอาหารและกระเพาะอาหารหรือ Achalasia (เอ-คา-เล-เซีย)

- การส่องกล้องตรวจ การใช้กล้องตรวจจะทำให้มองเห็นรายละเอียดของผิวเยื่อบุหลอดอาหารมากกว่าการทำเอกซเรย์ นอกจากนี้ยังทำให้สามารถตัดตัวอย่างชิ้นเนื้อที่สงสัยว่าเป็นโรค (เช่นเป็นมะเร็ง) เพื่อเอาไปตรวจทางพยาธิวิทยา จะได้ให้การวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องได้ เช่น ถ้าเป็นมะเร็งก็ต้องรักษาแบบมะเร็ง ถ้ามีแผลเป็นตีบตันหลอดอาหารก็รักษาการตีบ เช่น ใช้บอลลูนถ่างขยาย ถ้ากล้ามเนื้อหูรูดไม่คลายตัวหรือ Achalasia ก็อาจจะรักษาโดยการฉีดยาคลายกล้ามเนื้อที่เรียกว่า botulinum toxin (หรือที่คนไทยคุ้นหูว่าโบท็อกซ์) หรือการผ่าตัด

ส่วนสาเหตุอย่างอื่นที่ทำให้เกิดอาการเจ็บแถวหน้าอกนอกจากหลอดอาหารคือ

 โรคของกระเพาะอาหาร เช่น กระเพาะเลื่อนขึ้นสู่อก (hiatal hernia) หรือโรคของถุงน้ำดี เช่น นิ่วในถุงน้ำดี ถุงน้ำดีอักเสบ หรือตับอ่อนอักเสบ เพราะโรคเหล่านี้ก็ทำให้มีอาการปวดใกล้หัวใจ บางครั้งจึงแยกกันยาก

 โรคของกล้ามเนื้อและกระดูกอกไก่และซี่โครงตรงหน้าอกหน้าหัวใจ โรคนี้อาจเกิดจากการกระแทก ซึ่งบางกรณีทำให้รอยต่อของกระดูกซี่โครงแยกจากกระดูกอกไก่ หรือมีการอักเสบของรอยต่อ หรือรอยต่อของกระดูกซี่โครงอ่อนกับซี่โครงแข็งแยกหรืออักเสบ(costochondritis) จึงมีอาการปวดจี๊ดๆ หรือกดเจ็บบริเวณที่อักเสบ การรักษาโรคนี้จะรักษาตามอาการ ซึ่งหากแพทย์อธิบายให้เข้าใจว่า กว่าจะหายปวดต้องใช้เวลาเป็นอาทิตย์ ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลของผู้ป่วยได้

 โรคของปอดหรือช่องอก(ที่ปอดอยู่) ก็ทำให้เจ็บหน้าอกได้ เช่น การอักเสบของปอด ลิ่มเลือดอุดตันหลอดเลือดปอด หรือเยื่อหุ้มปอดอักเสบ หรือบางกรณีการหอบหืดก็ทำให้เจ็บแน่นหน้าอกได้

แต่ทางที่ดี และคลายความวิตกกังวล ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงจะดีที่สุด

ขอบคุณ : HealthToday  

วันจันทร์ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2555

จะเพียรพยายามจนสิ้นเรี่ยวแรง

พระอาจารย์ กล่าวว่า "วายเม เถว ปุริโส เกิดเป็นคนต้องพยายามอยู่ร่ำไป จะทิ้งความเพียรไม่ได้ อย่างที่พระพุทธเจ้า ท่านทรงอธิษฐานตอนช่วงที่จะตรัสรู้ว่า พระองค์ท่านจะเพียรพยายามจนสิ้นเรี่ยวแรงที่บุคคลจะพึงปฏิบัติได้ แม้ว่าเลือดเนื้อในร่างกายนี้เหือดแห้งไปก็ตามที ต่อให้ชีวิตินทรีย์นี้สิ้นลงไป ถ้าไม่บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณแล้วไซร้ พระองค์ท่านจะไม่ละจากบัลลังก์นี้ 
อย่าลืมนะ..พระองค์ท่านว่า "จนสิ้นเรี่ยวแรง" ก็แปลว่าทุ่มเทชนิดตายกันไปข้างหนึ่ง..!"

สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนตุลาคม ๒๕๕๔



วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

เป็นไรอีกเนี่ย

สองวันมานี้ รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้
เมื่อยตัวไปหมด
เมื่อวานนอนตั้งแต่สองทุ่มฝ่าๆ
ตื่นมาอีกที  ตีห้าครึ่ง หลับเป็นตาย
ได้นอนเต็มอิ่มขนาดนี้
ยังตื่นมาเวียนหัวอีก
ช้านเป็นอีหยังนิ
มึนๆ  ง่วงๆ
เมื่อยตัวไปหมดเร้ย
ไม่อยากหาหมอนะ  ค้านขนาด

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2555

รักปาฏิหาริย์


ควรหาประโยชน์ซึ่งกันและกัน


การอยู่ด้วยกันเป็นหมู่มาก ย่อมมีที่คิดเห็นแตกต่างกัน
แต่หากมองหาประโยชน์ซึ่งกันและกันแล้ว
ก็จะได้ความรู้ ความเข้าใจ มากกว่าที่เป็น


บนโลกใบนี้ ไม่มีใครเก่งกว่าใคร ไม่มีใครรู้มากกว่าใคร

เพราะต่างคนก็รู้ตามที่ตนนั้น ได้ใช้ชีวิตมาในประจำวัน

บางสิ่งที่เรารู้ เขาอาจไม่รู้ แต่สิ่งที่เขารู้ เราอาจไม่รู้

การยอมรับในแง่มุมมองของผู้อื่น จะส่งผลดีให้กับตัวเจ้าของเอง

ในที่นี้ ที่ผมกล่าว ไม่ยกเอาตัวตน หรือ อัตตาใดใด

เอาแต่ประโยชน์ซึ่งกันและกันเท่านั้น นำประโยชน์มาแบ่งปันกัน

ย่อมดีกว่า เอาปัญหามาถกเถียงกัน เพราะนอกจากไม่ได้สิ่งที่ดีแล้ว

ยังได้ความขุ่นข้องหมองใจแทนที่ ซึ่งเหมือนการสร้างความทุกข์ให้ตนเอง

โดยแท้จริง เรานั้นไม่สามารถบังคับ ให้บุคคลอื่น ทำตามที่เราต้องการได้

หรือ จะบังคับให้บุคคลอื่นมาเชื่อฟังเรา ก็เป็นเรื่องที่ยากมาก
ความเชื่อที่มนุษย์มีนั้น มาจากการใช้ชีวิตส่วนตัว ที่เกิดจากชีวิตประจำวัน
ประสบการณ์ของแต่ละบุคคล ที่แตกต่างกัน ไม่เพียงแต่ศาสนาพุทธเท่านั้น
ที่มีอยู่ในโลกใบนี้ ศาสนาอื่น เขาก็เชื่อของเขาแบบนั้น
จะไปบังคับให้เขามาเชื่อศาสนาพุทธ ก็ทำได้ยาก ซ้ำยังจะถกเถียงกันไม่เลิก


หากจะกล่าวว่า มนุษย์นี้ ไม่ต่างจากสัตว์เลี้ยงของผู้ที่เรามองไม่เห็นแล้ว
ผู้นั้นยังจะคอยบงการเราให้คิดแบบนั้น แบบนี้ ทำแบบนั้น แบบนี้
ผู้ที่อยู่นอกระบบ ซึ่งไม่ทราบว่า เป็น พระเจ้า หรือ ซาตาน
ที่มาสร้างความเชื่อให้แก่มนุษย์ จนทำให้มนุษย์มีความคิดที่แตกต่างกัน

สร้างให้มนุษย์คนนั้นกระทำในสิ่งนี้ สร้างให้มนุษย์คนนี้กระทำในสิ่งนั้น

มนุษย์ก็ยังตามกระแสเหล่านี้ มาจนถึงยุคสมัยที่ศาสนาเริ่มเสื่อมโทรม
"สิ่งที่ผมขอฝากเอาไว้ ให้พิจารณาคือ การปฎิบัติธรรมในทุกวันนี้
ไม่ว่าจะการนั่งกรรมฐาน หรือ การศึกษาเล่าเรียนพระธรรม หรือ เจริญสติปฐาน
เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปมากน้อยเท่าไรแล้ว ความสบายที่เข้ามาแทนที่
ได้สร้างมนุษย์ให้มีจิตใจ โหยหาความสุขสบาย มากกว่าที่จะมุ่งมั่นในภาระกิจ"


สาธุครับ
__________________
ขอให้เจริญในธรรมครับ
 

ของขวัญ


วันอังคารที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2555

คำคมวันนี้

1.โลกใบนี้ ยังมีมุมดีๆ ให้มอง
2.ตัวเรา ยังไม่ได้ดั่งใจเรา...
แล้วคนอื่น จะเป็นได้อย่างไร
3.ถนนบางสายไกลหน่อย แต่ก็ยังมีวันถึง
4.แต่งหน้า ด้วยเครื่องสำอาง...
แต่งใจ ด้วยความดี
5.ความเจ็บปวด ทำให้หัวใจแข็งแกร่ง
6.เดินคนเดียว อาจไม่รู้สึก ดีอะไร...
แต่อย่างน้อย ก็มีที่แกว่งแขนมากขึ้น
7.ทำวันนี้ ให้ดีที่สุด...
แล้วทำวันพรุ่งนี้ ให้ดีกว่าเดิม
8.ความผิดพลาดเกิดขึ้นได้...
เพราะทุกปัญหาแก้ไขได้
9.ถ้าไม่ลองก้าว...
จะรู้ได้อย่างไรว่า ตัวเองวิ่งได้
10.สิ่งร้ายๆ จะมาพร้อมกับ สิ่งดีๆ เสมอ 

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

อีกไม่นานก็เช้า (ขออีกรอบนะเพลงนี้)


สักวันต้องเป็นของเรา




เสียใจอย่างแรง

.หลายครั้ง...ที่อยากจะร้องไห้ดังๆให้สมกับความเสียใจ
แต่เราจะรู้บ้างมั้ยว่า บางที่นํ้าตาก็ไม่ได้ช่วยอะไร 
เพื่อที่จะเรียนรุ้เเละสามารถเผชิญเราจะต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการรับมือกับอุปสรรค
เตรียมตัวเตรียมใจ ยิ้มรับเเละกล่าวขอบคุณดังๆที่ส่งอุปสรรคมาให้เราได้พิสูจน์ตัวเอง
ถึงเเม้ว่ามันจะหนักหนาสาหัสเพียงใค ให้เชื่อเเค่ว่าวันหนึ่งมันต้องดีกว่านี้
เมื่อไหร่ที่เกิดความรู้สึกว่าตัวเองกำลัง ‘ไม่ไหว’
อยากให้ลองถามตัวเองดูใหม่ว่า
ที่ ‘ ไม่ไหว ’ นั้นน่ะ เป็นเพราะเรา...แค่ไม่อยากจะสู้รึเปล่า
ก่อนที่ทุกคนจะหมดแรงนั้น
ธรรมชาติยังมอบ ‘ กำลังเฮือกสุดท้าย ’ ให้เสมอ
และที่เราไม่หยิบมันออกมาใช้
ก็เพราะเราลืมหรือกำลังเหนื่อยกับการตีโพยตีพายอยู่รึเปล่า
ในทุกปัญหาย่อมมีวิธีที่จัดการกับมัน
อยู่ที่เราเองเท่านั้น ว่าจะเริ่มต้นเมื่อไหร่ และเปลี่ยนแปลงมันอย่างไร
ที่สำคัญอย่ายอมแพ้...ถ้ายังไม่หมดเวลา.
สู้ๆๆ

กำลังใจไปไหนหมด

อยากได้กำลังใจ
อยากให้แม่มาอยู่ตรงนี้
เวลานี้อยากกอดแม่ ที่สุด
ขอบคุณนะคะแม่  แม้ว่าเข็มจะทำไม่ได้ตามความหวังของแม่
แต่แม่ก็ยังไม่เคยทอดทิ้งลุกคนนี้
แม้ลูกคนนี้จะไม่ได้เรื่องก็ตาม
สอบก็ไม่ได้เรื่อง
ทำกับข้าวก็ไม่ได้เรื่อง
ไม่เป็นแม่ศรีเรือนดั่งใจแม่สักอย่าง
แต่เข็มก็ดีใจนะที่เวลาเข็มท้อแล้วแม่ไม่เคยทิ้ง
ขอบคุณกำลังใจจากแม่สุดที่รัก
ขอบคุณกำลังใจจากแม่
ผู้เป็นพระในบ้านพระประจำใจของลูกคนนี้

ลูกเสียใจที่ทำให้แม่กับพ่อไม่ได้
ทำให้พ่อกับแม่ต้องผิดหวัง
ลูกอาจจะไม่มีดวงด้านข้าราชการก็ได้
แต่ลูกคนนี้ก็จะรักและดูแลพ่อกะแม่ตลอดไป



ไม่เป็นไร

ความหวังที่รอคอยมานาน  ได้พังทลายไปแล้ว
การสอบสนามสุดท้ายมาถึง
ได้ลำดับ292  โคตรไกลความฝัน
ไม่ต้องฝันที่จะได้ไปอยู่นครนายกละ
อยู่เชียงรายนี่แหละดีที่สุด
ดีซะอีก  อยู่ใกล้แม่ จะได้ดูแลอย่างไม่ละสายตา
ดูแลอย่างใกล้ชิด
จะได้อุ่นใจ
ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

นี่เรากำลังปลอบใจตัวเอง
เราเสียใจป่าว
ไม่รู้มึนตึบคิดไรไม่ออก
เสียใจก็คงมีอยู่บ้าง
แต่เราก็พอจะรู้ตัวเองนะ ว่าผ่านมาได้ขนาดนี้ก็ดีละ
ความจริงแล้วคงจะได้คาบเส้นผ่านมั้ง
ไม่เป็นไร  โอยโลกไมมันหมุนอย่างนี้
มืดไปชั่วขณะ
เฮ้ออ  ช่างมัน
คนอื่นๆ เค้าก็ยังไม่ได้บรรจุเลย
เค้าก็ยังอยู่กันได้  เราก็อยู่แบบนี้ไปแหละดีละ
ไว้สอบใหม่
เอ้า  สู้กันต่อไป

-<_>-

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตลอนทัวร์เหลือเกินวันนี้

ตื่นแต่ตีสี่   หุงข้าว  ทำกับข้าว  แงๆๆ ถ้าพ่อไม่ตื่นมาช่วย
คงเสร็จช้าแน่ๆๆ
วันนี้ต้องไปส่งแม่หาหมอ ( 55 หมอเมือง) ที่ลำปาง
แต่ต้องเข้าไปบ้านลุงที่แม่ขะจานก่อน  แล้วค่อยไปลำปาง
ออกหกโมง ถึงบ้านลุงประมาณเจ็ดโมงครึ่ง
ขับอย่างเต่า  จะขับเร็วแม่ก็่บ่นตลอดทาง
ถึงบ้านลุงกินข้าวกัน  รีบออกเดินทางต่อไปลำปางเลย
ทำพิธีไรให้แม่เสร็จก็ไม่รู้จาทำไรกันต่อ
ลุงเลยชวนออกมาบ้านเพื่อนลุงที่วังเหนือ
ก็ดี  จะได้ให้แม่พักผ่อนด้วย
ที่ไหนได้  ขับรถเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงบ้านเพื่อนลุง
เข้าไปซะในป่าดงดิบเลย  โห แต่ธรรมชาติโคตรๆๆ สวย
มีบ่อเลี้ยงปลา  มีสวนผักหลายๆ อย่าง
เฮ้อออ  อยากมีบ้านกลางสวนแบบนี้จัง
ไม่ต้องไปไหนเลย  อยู่แต่บ้านแบบนี้คงจะมีความสุข

บ่ายแระ ต้องขับรถกับไปบ้านหมอเมืองอีกรอบ
เหนื่อยอะ เมื่อยก้นด้วย เฮ้ออ  ต้องทน
ทำพิธีรอบสองเสร็จ  บ่ายสองแระ
ขับรถกับแม่ขะจานอีก   ส่งแม่ให้มานอนบ้านลุงก่อน
แม่ต้องทำพิธีอีกประมาณสองสามวัน
เลยให้นอนบ้านลุงเรย
บ่ายสามแระ   ต้องขับรถกับบ้านเชียงรายอีก
อารายกันเนี่ย  ขับรถไปๆๆมาๆ ง่วงมาก
อยากนอนสุด ๆ
หันไปดูพ่อ  อ้าว  นอนหลับสบายใจเลย
พ่อคงเหนื่อยแหละ  ทำสวนทั้งวัน
แล้วต้องตื่นเช้ามาส่งแม่อีก  ไม่เป็นไร  เข็มไหวค่ะ
แต่ตอนนี้อาการง่วงเริ่มมาอีกแร้ว
เหนื่อยมาทั้งวัน  ไปนอนดีกว่า
ไม่ไหว  ๆ  สิวขึ้นเต็มหน้าเลย  ไม่ได้พักมาหลายวัน
ช้านงี้โทรมเรย  แง่วๆๆ

ปล.  แม่จ๋าหายไวๆๆ นะ

ค่าของคน


น  ชจฺจา  วสโล  โหติ มนุษย์ไม่ได้เป็นคนถ่อย เพราะชาติกำเนิด

น  ชจฺจา  โหติ  พฺราหฺมโณ ไม่ได้เป็นคนดี เพราะชาติกำเนิด

กมฺมุนา  วสโล  โหติ แต่เป็นคนถ่อย ก็เพราะการกระทำ

กมฺมุนา  โหต  พฺราหฺมโณ  เป็นผู้ประเสริฐ ก็เพราะการกระทำ

(อมรรตยพจน์ ๑๓/๗๐๗)

ค่าของคนมิใช่ผลของการเกิด คนประเสริฐหรือคนถ่อยผู้ต้อยต่ำ

ค่าของคนอยู่ที่ผลของคนทำ กฎแห่งกรรมผู้ลิขิตชีวิตเรา

หากทำดีกำเนิดต่ำก็นับดี ทำอัปรีย์กำเนิดสูงไม่สูงเผ่า

ดีหรือชั่วสูงหรือต่ำเพราะทำเอา อย่ามัวเมาว่าเป็นเคราะห์เพราะเกิดมา


ว.วชิรเมธี

ลืมวันพระ ลืมของดี ลืมความสุข

วันพระนี้ ท่านลองไปดูตามวัดซิว่า มีคนเข้าวัดไหม
ไม่มีหรอกเขาไปเที่ยวกัน ลืมวันพระ ลืมของดี ลืมความสุข
มีแต่ความทุกข์ไม่ลืม ความสุขกลับลืม
แต่อยากได้ความสุขไม่ต้องการทุกข์
แต่ท่านวิ่งไปหากองทุกข์ วิ่งไปหาหนี้สิน
วิ่งไปหาหายนะ วิ่งไปหาบุญแต่กรรมมันบัง
อยากนั่งกรรมฐานเพียง ๓ วัน
เดินจงกรมยังไม่ได้กลับแล้ว ไม่มีความเห็นจริงเลย
คนเรามันแย่ลงไป จึงหาความสุขในยุคปัจจุบันไม่ได้
เรามาอยู่ร้อนนอนทุกข์กันแท้ๆ ไม่มีเหาก็หาเหาใส่หัว
ไม่มีอะไรก็หาอะไรใส่ตัว ก็ไม่เป็นไรจะไม่ขอกล่าวต่อไป
แต่ความละเอียดอ่อนของชีวิตนี้ทุกคนหายาก 

ความดีจึงหายากมาก ทำได้ยากมาก
แต่ความชั่วทำได้ง่าย ลอยละล่องไปตามสายธารและสายชล
เหมือนล่องเรือไปตามสายน้ำฉะนั้น
แต่ทำความดีเหมือนพายเรือขึ้นมันฝืนใจ
ความดีนี้มันฝืนใจเราท่านทั้งหลายเอ๋ย
มันไม่มีปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตัวของท่านหรอก
ความดีต้องฝืนใจ ท่านฝืนใจได้
ท่านมีขันติความอดทนฝืนใจได้แล้วท่านจะพบธรรมะ
เป็นดวงใจใสสะอาดในตัวท่าน
ฝืนใจไม่ได้ ปล่อยไปตามอารมณ์ตามใจตนของตนแล้ว

ท่านจะพบแต่หายนะ ท่านจะไม่พบความรู้ที่แน่นอน
และความจริงที่เป็นอยู่ของชีวิตอย่างแน่นอน
ท่านจะได้ของที่เลวร้ายติดตัวตลอด
 

ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบ


ยากเหลือเกินที่จะมีคนดีพร้อม ยากจะหอมไปทุกอย่างเหมือนดั่งฝัน
ยากจะสมปรารถนาสารพัน ยากจะบรรลุล่วงทุกห้วงคิด
ไม่มีใครสมบูรณ์ไปในทุกสิ่ง ไม่มีใครดียิ่งอย่างวิจิตร
ไม่มีใครแพรวพราวราวนิรมิต ไม่มีใครโสภิตทุกประการ

ธรรมดาปุถุชนคนของโลก มีสุขโศกเกิดดับกับสังสาร

จะหาคนผุดผ่องก่องตระการ เฉกบัวบานใสพิสุทธิ์หยุดเสียที
บางคนรูปร่างดี-วาทีร้าย บางคนกายงามสง่าแต่บ้าผี
บางคนป่วยหนักหนาชั่วตาปี แต่ใจดีเหมือนไม่ป่วยไม่รวยแรง
บางคนดำทั้งตัวหัวจดเท้า แต่กลับขาวที่ใจคล้ายจันทร์แสง

บางคนสูงแต่ใจต่ำทำตะแบง หาเรื่องแช่งชักกระดูกผูกเวรคน
นี่คือคนธรรมดาประสาโลกย์ เชิญชะโงกให้รู้ทันกันสับสน
อย่าคาดหวังไว้สูงกับฝูงชน เข้าใจคนเข้าใจโลกโชคชีวิต

ความสำเร็จ


แม้ว่าลาจะร้องเสียงจิ้งหรีดได้
มันก็เป็นความล้มเหลว มากกว่าความสำเร็จ
ทางแห่งความสำเร็จของชีวิต
ไม่อาจเลียนแบบกันได้

ผู้มีทัศนะคับแคบงมงายเท่านั้น
ที่จะเลียนแบบวิถีแห่งความสำเร็จของผู้อื่น
ความพยายามของตัวตน เพื่อตัวตน
ไม่อาจช่วยให้ชีวิตพบความสำเร็จที่แท้จริงได้
เพราะความพยายามเช่นนี้อยู่ที่ไหน

ความสำเร็จที่แท้จริงก็หาอยู่ด้วยไม่
จะมีก็แต่ความสำเร็จจอมปลอม
ที่กว่าจะได้มาก็ต้องทุกข์ทรมาน แสวงหา
การเข้าใจความจริงของชีวิตนั่นเอง
คือความสำเร็จของชีวิต
และการใช้ชีวิตเพื่อสรรพชีวิต
ก็คือหนทางของความสำเร็จ

ปล.  ชอบ ๆ ๆก๊อปเค้ามา